ศาลรัฐธรรมนูญ 4 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญเริ่มไต่สวนคุณสมบัติ 32 ส.ส. “ภาดาท์” ผู้ถูกร้องที่ 20 ไต่สวนปากแรก อ้างไม่รู้บริษัท ทาโร่ทาเลนท์ ยังไม่ปิดกิจการหลังยื่นสมัคร ส.ส. ทั้งที่แจ้งให้ 2 กรรมการบริหารบริษัทดำเนินการ หน้าแตกหลังตุลาการพบมีการลงนามในเอกสารในปีต่อมา ด้าน “ธัญญ์วาริน” ไม่สนชี้แจง ส่งหนังสือแจ้งไม่ติดใจจะเข้าไต่สวน ศาลถือทราบนัดโดยชอบรอลุ้นคำตัดสิน
ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานในคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าสมาชิกภาพ 32 ส.ส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ โดยวันนี้เป็นการไต่สวน น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ผู้ถูกร้องที่ 20 และนายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 โดยในช่วงแรกเป็นการไต่สวนในส่วนของ น.ส.ภาดาท์ และพยาน 2 ปาก ซึ่งศาลได้สอบถามถึงการดำเนินการกิจการของบริษัททาโร่ ทาเลนท์ ว่าทำธุรกิจผลิตสื่อประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูลข่าวสารตามที่ระบุในวัตถุประสงค์ที่ยื่นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือไม่
น.ส.ภาดาท์ ชี้แจงว่า บริษัทตั้งขึ้นเพื่อจัดคอร์สอบรมค่ายเยาวชนให้กับเด็กอายุ 8-14 ปี ในหลักสูตรเอ็กซ์วายแซด และมีการจัดอบรมเพียงครั้งเดียวระหว่างวันที่ 23-27 ต.ค. 60 ที่เขาใหญ่ แต่ในใบนำส่งงบการเงินที่ยื่นกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่าทำผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ฯ ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น เป็นเรื่องของผู้จัดทำบัญชีที่ดำเนินการซึ่งมักจะนำวัตถุประสงค์เพิ่มเติมที่บริษัทจดเพิ่มจากแบบฟอร์มการขอจดทะเบียนมาใส่ไว้ ว่าเป็นลักษณะของการประกอบกิจการในการยื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นการดำเนินการของผู้จัดทำบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชี
เมื่อรู้ตัวจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ได้แจ้งให้หนึ่งในกรรมการบริษัทไปเลิกบริษัทปลายปี 2561 การดำเนินการดังกล่าวจะต้องมีกรรมการบริหาร 2 คนลงนาม ซึ่งตนก็คิดว่ากรรมการทั้ง 2 คนดังกล่าวดำเนินการแล้ว จึงไม่ได้ติดตามสอบถาม และไม่ได้มีการลงชื่อในเอกสารที่ยื่นต่อราชการใด ๆ อีกเลย และมาทราบว่าไม่ได้เลิกกิจการ หลังมีการยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ตุลาการได้สอบถามว่าถ้าเลิกกิจการตั้งแต่ปลายปี 61 และไม่ได้ลงชื่อยื่นในเอกสารใดอีก ทำไมในเอกสารงบการเงินลงวันที่ 18 มิ.ย. 62 ยังมีรายมือชื่อของ น.ส.ภาดาท์ ลงนามเอกสารยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นหลังจากการเปิดรับสมัครส.ส.ไปแล้ว 6 เดือน น.ส.ภาดาท์ ก็อ้างว่าอาจจะลืมเนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว
ด้าน น.ส.น้ำอ้อย อู่อรุณ ผู้จัดทำบัญชีบริษัทในปี 60 ชี้แจงต่อศาลว่า การระบุวัตถุประสงค์ในใบนำส่งงบการเงินที่ยื่นกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่ไม่ตรงกับการดำเนินกิจการจริงของบริษัท ทำด้วยความเคยชิน ที่โดยปกติก็จะเอาวัตถุประสงค์ข้อแรกที่บริษัทนั้นจดเพิ่มเติมมาใส่ ทั้งที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของบริษัท แต่ยืนยันว่าธุรกิจของบริษัทนี้คือจัดคอร์สค่ายเยาวชน ส่วนที่ระบุไปว่าบริษัทมีรายได้ 100% จากการผลิตข้อมูลข่าวสาร ความบันเทิง ก็เป็นเพราะความเคยชินที่จะนำเอาวัตถุประสงค์ข้อ 23,25 ซึ่งเป็นข้อที่บริษัทจดเพิ่มเติมมาใส่ โดยยอมรับว่าเกิดความผิดพลาด แต่ไม่ได้จงใจให้ผิดพลาด ในกรณีนำวัตถุประสงค์บริษัทจดเพิ่มมาใส่ในงบการเงิน โดยที่ไม่ตรงกับการดำเนินกิจการจริง ซึ่งส่วนใหญ่นักบัญชีก็ทำแบบนั้น
ส่วนที่ศาลสอบถามว่ามีรายการค่าใช้จ่ายผลิตสื่อในช่วงระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-8 ธ.ค. 60 เป็นค่าอะไรทั้งที่การจัดอบรมค่ายเยาวชนเสร็จสิ้นตั้งแต่ 27 ต.ค. น.ส.น้ำอ้อย ชี้แจงว่า เป็นค่าผลิตสื่อเชิญชวนผู้ปกครองให้ส่งเด็กมาอบรม ซึ่งผลิตไปแล้ว แต่ยังไม่จ่ายเงินและมาจ่ายในภายหลัง จึงลงเป็นรายการบันทึกค้างจ่ายที่จ่ายชำระ
ขณะที่นายชาตรี ระวิพงษ์ ผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัทดังกล่าวช่วงปี 60 ก็กล่าวว่า ตรวจบัญชีตามเอกสารหลักฐานที่ผู้ทำบัญชีส่งมาไม่ได้มีการขอดูหรือสงสัยว่าบริษัทดำเนินกิจการตรงตามที่จดทะเบียนหรือไม่ จะดูเพียงตัวเลขของบัญชีว่าเป็นไปตามหลักการบัญชีหรือไม่ ส่วนรายละเอียดอื่นผู้จัดทำบัญชีเป็นผู้จัดทำ ซึ่งตนก็เชื่อในการจัดทำบัญชีของผู้จัดทำบัญชี
ผู้สื่อข่าวรายงานส่วนการไต่สวนในรายของนายธัญญ์วารินนั้น เจ้าตัวได้ส่งหนังสือมาแจ้งให้ทราบว่า ทราบที่ศาลได้นัด แต่ไม่ติดใจที่จะเข้าไต่สวน จึงไม่มาศาล ทั้งนี้หลังเสร็จสิ้นการไต่สวน ศาลแจ้งว่าให้ผู้ถูกร้องทั้งสอง รอฟังคำวินิจฉัยพร้อมกับผู้ถูกร้องอื่น ๆ.-สำนักข่าวไทย