รัฐสภา 25 ก.ย.-เพื่อไทย ยื่นร่างแก้ไข รธน.ต่อประธานรัฐสภาแล้ว รับที่มา ส.ส.ร. 3 พรรคต่างกัน มองหากโหวตรวมอาจมีปัญหา ใครคุมเสียงข้างมากเอาไปหมด ปัดวิจารณ์ร่างพรรคอื่น ย้ำ พท.คาดนัดถก 14-15 ต.ค.นี้
พรรคเพื่อไทย นำโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และประธานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ยื่นร่างแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 หมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา
นายชูศักดิ์ ระบุว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยคำนึงถึงข้อห้ามของรัฐธรรมนูญ และคำนึงถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงเราคิดถึงกรณีที่เคยยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกระบวนการสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร.มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งเป็นการสร้าง การมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งนี้เมื่อเราคำนึงถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า รัฐสภามีอำนาจริเริ่มแสดงความต้องการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนทำประชามติก่อนว่า ประสงค์จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และประชาชนไม่สามารถเลือก สสร.ได้โดยตรง ซึ่งข้อวินิจฉัยเหล่านี้ จึงทำให้เรามาคิดคำนึงว่า ถ้าเรากระทำการโดยไม่เป็นไปตาม ท้ายสุดประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอย และมีคนไปยื่นคำร้องจนทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ประสบความสำเร็จ
นายชูศักดิ์ ระบุอีกว่า คณะทำงานพรรคเพื่อไทย จึงมีข้อสรุปว่า ให้รัฐสภาแต่งตั้ง ส.ส.ร. ที่มาจากประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะพิสูจน์ว่า เราไม่ได้เลือก ส.ส.ร. โดยตรง แต่รัฐสภาจะเป็นคนเลือก หลังจากประชาชนเลือกมาแล้ว และถ้ายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว รัฐสภาจะให้ความเห็นชอบ
ส่วนที่มาของ ส.ส.ร. จะมาจาก 2 ส่วนคือ ส่วนแรก 100 คน มาจากประชาชนเลือกตัวแทน 300 คน ตามสัดส่วนของแต่ละจังหวัด จากนั้นรัฐสภาจะเลือกให้เหลือ 100 คน โดยมีข้อแม้ว่า 100 คนต้องมีตัวแทนอย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน ซึ่งจังหวัดหนึ่งจะไม่มีตัวแทนจาก สสร.เลยไม่ได้ เพื่อป้องกันการล็อคโหวต หรือฮั้วกัน
ส่วนที่สอง จะมาจากองค์กรต่าง ๆ ทั้งของราชการ และภาคเอกชน ที่ให้ความเห็นทางวิชาการ เช่น สภาวิชาชีพ, สภาท้องถิ่น, มหาวิทยาลัย, สภานิสิตนักศึกษา และตัวแทนจาก NGO ซึ่งให้แต่ละองค์กรเสนอบุคคลทั้งหมดจำนวน 51 คน โดยจะทำให้ ส.ส.ร. ในร่างกฎหมายของพรรคเพื่อไทยมีทั้งหมด 151 คน
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า คนเหล่านี้จะมีหน้าที่มาจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แน่นอนว่าเขาอาจไม่ใช่บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเต็ม 100% แต่สามารถไปตั้งคณะกรรมาธิการจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายมายกร่างรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากมีการวินิจฉัยไว้ว่า จะให้ ส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มา แล้วประกาศใช้เลยไม่ได้ จึงให้มีการกลับมาขอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ และไปทําประชามติ เพื่อประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อยกร่างฯ เสร็จแล้ว ก็นำกลับเข้าสู่สภาให้ความเห็นชอบ เพื่อนำไปจัดทำประชามติ และประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญ และร่างฯ ของพรรคเพื่อไทยก็จะนำไปพิจารณา กับร่างฯ ของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ที่เสนอไปก่อนหน้านี้ โดยจากที่ได้ฟังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงว่า จะยุบสภาภายในเดือนมกราคม 2569 ตนคิดว่า อย่างน้อยที่สุดร่างรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะยุบสภา ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถึงจะเดินต่อไปได้
นายชูศักดิ์ ย้ำว่า พรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค และกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้นคงมีภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่ง ชนิดที่ว่าไม่มีเวลาไปทําอะไรเลย นอกจากจะยกร่างให้เสร็จภายในวาระสาม เพราะประสบการณ์ที่ตนมีมา ไม่เคยมีการพิจารณาวาระหนึ่ง สอง และสามให้เสร็จภายใน 4 เดือน เป็นเรื่องยากมากๆ บางฉบับใช้เวลา แค่กฎหมายธรรมดา ก็ 8-9 เดือน
“เราตั้งใจจะทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาหลายด้าน ทุกคนก็เห็นอยู่แล้ว รัฐบาลที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในขณะนี้ บทชัดเจนที่สุดก็เป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญ 2560 ประเทศไทยหยุดอยู่กับที่ก้าวเดินไม่ได้สักที ก็เพราะอุปสรรคจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้”
นายชูศักดิ์ ยังกล่าวว่า จากการพูดคุยกับประธานรัฐสภา คาดว่า จะมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญได้ ในช่วงวันที่ 14-15 ตุลาคมนี้
เมื่อถามว่า ที่มาของ ส.ส.ร. ของทั้ง 3 พรรคมีความแตกต่างกันมาก จะเป็นเรื่องยากง่ายใครไหนในการตกลงกัน นายชูศักดิ์ ยอมรับว่า ถูก แต่ก็ต้องไปพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผลว่า ท้ายสุดว่า อันไหนจะดีที่สุด ซึ่งตนขอไม่วิจารณ์ว่า พรรคไหนดี หรือไม่ดี แต่ในส่วนของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน เราพยายามทำให้ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด ซึ่งถ้าไปโหวตรวมกันเลยทีเดียวก็อาจจะมีปัญหาว่า ใครคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ เอาไปหมดเลย ซึ่งสิ่งนี้ก็คิดอยู่ในใจ และท้ายที่สุดก็อยู่ที่ไปหลอมรวมความคิดกัน
ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) มีข้อเสนอว่า อยากให้พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ถอนร่างออกมา ทําเป็นร่างเดียวกัน จากการลงนามใน MOA ร่วมกัน ก็ควรทําให้มีทิศทางเดียวกัน พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เป็นความเห็นของนายณัฐวุฒิเอง ส่วนตัวเราเดินมาขนาดนี้แล้ว ก็ตอบอยู่ในตัวแล้วว่า เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นความเห็นในทางการเมือง และความคิดของนายณัฐวุฒิ เป็นเรื่องที่เขาแสดงความคิดเห็น แต่ขณะนี้เมื่อเรายื่นร่างฯ แก้ไขแล้ว ก็แสดงว่า เรายืนของเราแนวนี้ คงต้องไปถามทั้ง 2 พรรคนั้น เราไม่วิจารณ์
เมื่อถามว่า สรุปแล้วได้มีการจัดตั้งกลุ่มที่จะไปพูดคุยโน้มน้าวกับ สว.หรือไม่ นายชูศักดิ์ ระบุว่า ดูบรรยากาศในท้ายที่สุดคิดว่า กระแสสังคมมาถึงขนาดนี้ พรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ใครต่อใครก็เอาด้วยหมด ก็ต้องไปดูว่า เขาคิดอย่างไร เราคงไม่ไปจัดตั้งอะไร เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ทุกคนคงคิดได้
นายชูศักดิ์ ย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่เราเห็นกันว่า พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย มีการเสนอร่างแล้ว หมายความว่า ความต้องการของฝ่ายการเมือง คืออยากให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ สว.คิดอย่างไรก็สุดแท้แล้วแต่ สว.จะพิจารณา
เมื่อถามย้ำว่า ทั้ง 3 พรรค คงต้องหาข้อตกลงให้ได้ว่า จะเอาร่างใดเป็นร่างหลัก เพื่อไม่ให้ต้องนําไปสู่การลงมติ วัดคะแนนเสียงกันใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ก็ไม่รู้ แต่ถ้าไปดูใน MOA มี 2 ข้อ ที่เขาคงคิดว่า เขาคุยกันได้ ก็ให้เขาไปว่ากัน เราไม่ได้ไปทํา MOA ด้วย เราไม่รู้.-316.-สำนักข่าวไทย