กทม. 10 ก.ย.-“นิกร” ชี้การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อตกลง MOA จัดตั้งรัฐบาลที่ให้มี สสร.จากการเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ เพราะขัด รธน. ม 166 ตามที่ศาล รธน.วินิจฉัย แนะเลือก สสร.ทางอ้อม รัฐบาลควรเตรียมงบฯ กกต.เร่งดำเนินการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และถอนร่างแก้ไข รธน.ที่ค้างอยู่ทั้ง 3 ร่าง
นายนิกร จำนง อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ กรณีทำประชามติ 3 ครั้ง ว่าต้องทำประชามติจำนวน 3 ครั้ง โดยจำเป็นจะต้องดำเนินการสอบถามประชามติประชาชนเป็นครั้งแรกเสียก่อน รวมทั้งการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
ในฐานะเป็นอดีตประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ขอเสนอให้มีความระมัดระวังในการดำเนินการตั้งคำถามให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ที่บัญญัติว่าในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใด อันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยคณะรัฐมนตรีต้องมีมติให้ออกเสียงประชามติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ดังนั้น หากคณะรัฐมนตรีตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่ โดยให้มี สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งลงไปในคำถามประชามติด้วย ตามข้อตกลง MOA ข้อ 2 ของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ เห็นว่าไม่สามารถกระทำได้เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ที่การออกเสียงประชามติต้องมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มี สสร. บัญญัติไว้ จึงเห็นว่าไม่สามารถตั้งคำถามประชามติในลักษณะดังกล่าวได้
และที่สำคัญคำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ชี้ชัดต่อบทบัญญัติหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งกรณีนี้ตนยังเห็นว่าอาจสามารถจะมี สสร.ได้ แต่ต้องมีการเลือกตั้งโดยอัอมเหมือนการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2540 โดย สสร.ที่ให้ประชาชนเลือกมาจำนวนหนึ่งก่อนแล้วรัฐสภามาคัดเลือกภายหลังอีกครั้งหนึ่งเป็นโดยอ้อมไม่โดยตรง แต่ต้องรอไปกำหนดรายละเอียดและตั้งคำถามในช่วงที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นการถามประชามติเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งสามารถดำเนินการได้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้หากคณะรัฐมนตรีหรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังฝืนที่จะตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่โดยให้มี สสร.ลงไปในคำถามประชามติด้วย อาจถูกร้องว่าเป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้
นายนิกร จำนง ยังกล่าวด้วยว่า การตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่ยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 บททั่วไปเกี่ยวกับรูปแบบรัฐและระบอบการปกครอง และหมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ นั้นจะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นได้ เนื่องจากการศึกษาเรื่องปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 สรุปว่า 2 หมวดนี้ไม่มีปัญหาใดที่ควรแก้ไข ดังนั้น การตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้ไม่ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ ที่พึงประสงค์ ซึ่งตั้งใจกันมานาน
นายนิกร ชี้ว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 ยังไม่ได้ประกาศใช้ เนื่องจากอยู่ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ ตามมาตรา 145 ประกอบมาตรา 146 ของรัฐธรรมนูญ ในระหว่างนี้จึงควรดำเนินการประสานงานกับคณะกรรมการการเลือกตั้งในการเตรียมความพร้อม เพื่อออกกฎหมายลำดับรอง เช่น กฎ ระเบียบ และประกาศต่างๆ เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับก็สามารถดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติได้อย่างต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการจัดสรรงบประมาณ เพื่อใช้ในการออกเสียงประชามติ ทั้งนี้ เพื่อจะไม่มีปัญหาและอุปสรรคและสภาวะข้อขัดข้องใด ๆ เกิดขึ้นอีก เนื่องจากเวลาในการจัดทำประชามติเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีอยู่น้อยมาก
นายนิกร ยังกล่าวว่า สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 จำนวน 3 ร่างที่ค้างอยู่ในวาระของการประชุมรัฐสภา จำเป็นต้องถอนออกมา เพราะพิจารณาต่อไปไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำประชามติถามประชาชนเสียก่อน และในเนื้อหาของมาตราก็มีการบัญญัติให้ สสร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาโดยตรง.-สำนักข่าวไทย