รัฐสภา 31 ก.ค.-ประธาน กมธ.การต่างประเทศ เดินสายชี้แจงทูตสหภาพยุโรป-อังกฤษ ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ห่วงข่าวปลอมบิดเบือนภาพไทย ย้ำไทยอดทน ยับยั้งชั่งใจทุกขั้นตอน ไม่ตอบโต้เกินจำเป็น ชี้ ต้องเข้มแข็งด้วยลำแข้งตัวเอง ขอประชาคมโลกแสดงจุดยืนต่อความรุนแรง พร้อมจับตาบทบาทประเทศที่สาม บอกถึงเวลาไทยต้องวางตัวอย่างรอบคอบและเข้มแข็ง
นางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินสายพบคณะทูตสหภาพยุโรป และทูตอังกฤษ ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะที่ชายแดนตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาทางคณะกรรมาธิการการต่างประเทศได้เดินสายชี้แจงข้อเท็จจริง เป็นอันดับแรก เพราะมีความกังวลใจว่าการสื่อสารข่าว จากทั้งไทยและกัมพูชา มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก จึงเป็นส่วนที่ต่างชาติไม่เข้าใจ และกังวลใจ กรรมาธิการจึงเดินสายไปชี้แจงกับประเทศ ที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง ที่อย่างน้อยได้แสดงถึงความกังวลใจในฐานะของฝ่ายนิติบัญญัติ เช่นที่ผ่านมาได้ชี้แจงกับประเทศจีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และอีก 18 ประเทศ ขอสหภาพยุโรป ไปแล้ว ซึ่งจากนี้กรรมาธิการจะเดินสายพูดคุยและชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ และเรียกร้องให้มิตรประเทศแสดงจุดยืนต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น และขอให้ทุกประเทศช่วยจับตาดูข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาประชาคมโลกเห็นถึงความสับสนที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร เพราะสำนักข่าวต่างประเทศต่างหยิบยกการแถลงข่าว จาก กัมพูชาที่มีการปลอมแปลงมารายงานข่าว ซึ่งเห็นว่าเป็นการปลอมแปลงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
เมื่อถามว่า ภายหลังที่ มีข้อตกลงการหยุดยิง แต่ยังเกิดการปะทะ จากฝ่ายกัมพูชาสถานทูตต่างๆมีความเข้าใจในเรื่องนี้หรือไม่ ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ กล่าวว่า แต่ละประเทศก็รับฟัง เพราะหลายประเทศโดยเฉพาะจากโซนยุโรป ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจากเรื่องนี้ ดังนั้นจุดยืน สนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายยับยั้งชั่งใจ ในส่วนไทยก็ชัดเจนว่ายับยั้งชั่งใจมาโดยตลอด ซึ่งการปะทะที่เกิดขึ้น ทางฝั่งไทยไม่ได้เลือกที่จะปะทะให้เกิดความเสียหายต่อพลเรือน ไทยปกป้องตนเองเท่าที่จำเป็น และเท่าที่เห็นยังไม่มีภาพ ที่ชาวกัมพูชาได้รับความเสียหาย หรือพลเรือนเสียชีวิต ดังนั้นประชาคมโลกจึงจำเป็นต้องแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนและพลเรือนได้รับความรุนแรง ซึ่งขัดแย้งกับกฎบัตรต่างๆ ที่ทั้งสองประเทศเป็นภาคีอยู่
เมื่อถามว่าแต่ละสถานสถานทูตมีความสงสัยหรือไม่ ที่เหตุการณ์เกิดการปะทะและยกระดับความรุนแรงขึ้น ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศกล่าวว่า เขาก็อยากฟังความ เห็นของฝ่ายนิติบัญญัติและนักการเมืองเช่นเดียวกันว่ามีความเห็นอย่างไร ขณะที่ประเทศในภูมิภาค ก็อยากทำความเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองประเทศ ยังมีความเป็นกลางและไม่ได้ออกความเห็นมาก
ขณะที่โซนประเทศที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็มีความกังวลใจ เรื่องประเทศที่สามที่เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงอยากทราบจุดยืนของไทย ต่อประเทศมหาอำนาจว่าเป็นอย่างไร
ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ยังกล่าวว่า ทุกประเทศมีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นประเทศไทยจึงมีความจำเป็นที่ต้องเข้มแข็งด้วยลำแข้งตัวเอง เป็นโอกาสที่จะได้เห็นว่าใครเป็นมิตรประเทศของเราในที่เรามีปัญหา ได้เห็นความจริงใจจากหลายประเทศ ที่จะเข้ามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ ซึ่งเรื่องนี้ไทยต้องเข้มแข็งด้วยตัวเองและต้องมองให้ออกว่า กัมพูชามีจุดประสงค์อะไร และประเทศที่เกี่ยวข้องต้องการอะไร
“ไม่มีการปะทะไหน มาถึงความรุนแรงแค่เพราะว่าต้องการปราสาท มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น ส่วนใหญ่การประทะจากทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มาจากทรัพยากร เงินๆทองๆ ทั้งนั้น” นางสาวสรัสนันท์ กล่าว
สำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ในวันนี้ ที่เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลความรุนแรงและความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชานั้น ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นประเด็นที่ติดตามอยู่อย่างต่อเนื่องในกรอบของกรรมาธิการการต่างประเทศ และนอกเหนือจากนั้นเราอยากรู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันตามแนวชายแดน ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่หยุดยิงแล้ว การปะทะและการปฏิสัมพันธ์ของทหารเป็นอย่างไร จึงอยากสอบถาม ผู้ว่าราชการจังหวัดตามแนวชายแดน และตัวแทนกองทัพภาคที่2 ว่าหลังจากคุยกันที่มาเลเซีย ว่าจะมีการพูดคุยกันที่JBC จะเป็นไปในทิศทางไหน เพราะวงการพูดคุยRBC ยังไม่มีความคืบหน้า และหลายกรอบเป็นสิ่งที่เราทำกันอยู่แล้ว วันนี้อยากดูแนวทางของกระทรวงการต่างประเทศและใฝ่ความมั่นคงว่าต่อจากนี้ จะทำอย่างไรให้สถานการณ์คลี่คลายให้เร็วที่สุด
เมื่อถามว่า ในฐานะกรรมาธิการการต่างประเทศมองอย่างไร ต่อข้อเสนอแนะ จากนักวิชาการและฝ่ายการเมือง ที่ให้ฟ้องกัมพูชาต่อศาล อาญาระหว่างประเทศหรือ ICC ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศกล่าวว่า สามารถทำได้แต่ยังไม่ถึงเวลา เพราะอาจเป็นการเขวี้ยงงูไม่พ้นคอ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากทางฝั่งไทยและกัมพูชา ดังนั้นการจะฟ้องศาลICC ต้องมีหลักฐานที่เพียงพอ และเท่าที่ดูกัมพูชายังมีคดีอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกมากอยู่แล้ว
“ดังนั้นไทยจึงต้องวางเป้าให้ดีว่าต้องการอะไร เราต้องการที่จะหยุดความรุนแรงเพื่อเจรจาไปเจรจาต่อ หรือพยายามกำจัดบุคคลหรือครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งให้ออกจากซีน” นางสาวสรัสนันท์ กล่าว
ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นตัวกลางในการเจรจาส่วนเกมการเมืองระดับภูมิภาค ยัง
ต้องจับตาดู เพราะยังมีความเคลื่อนไหวจากทางจีนและสหรัฐ ที่มีนัยสำคัญ อาจถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ ว่าไทยจะวางตัวอยู่ในมิติไหน ให้เหมาะสมและเสียหายให้น้อยที่สุด โดยไม่เลือกฝั่ง เพราะตอนนี้การค้าถูกกดดันด้วยเรื่องภาษี ทำให้ทราบถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของสหรัฐว่าต้องการกดดันไทยผ่านกรอบอะไรบ้าง จึงเป็นที่น่ากังวลว่าท้ายที่สุดแล้ว ว่าไทยถูกกดดันจากเกมของใคร
เมื่อถามถึงการที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชา แถลงกลางที่ประชุมระดับสูงของสหภาพรัฐสภา ที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ว่าไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิงนั้น นางสาวสรัสนันท์ กล่าวว่า ตนในฐานะเลขาธิการหน่วยประจำชาติไทย ในสหภาพรัฐสภา หรือ IPU นั้น มองว่าเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ที่สามารถแสดงออกบนเวทีระหว่างประเทศ ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นฝ่ายนิติบัญญัติมีองค์กรระหว่างประเทศในหลายกรอบ ทั้ง IPU , สมัชชารัฐสภาอาเซียน หรือ AIPA กรอบอาเซียนและ สหภาพสมาชิกรัฐสภาเอเชียแปซิฟิก หรือ APPU ดังนั้นควรใช้กรอบความร่วมมือที่มีอยู่เพื่อสื่อสารไปยังสมาชิกทั่วโลกให้เกิดประโยชน์สูงสุด.-315 -สำนักข่าวไทย