กระทรวงการต่างประเทศ 24 ก.ค.- กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพกัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตย จงใจเป็นปฏิปักษ์ต่อไทยชัดเจน ยัน รัฐบาลไทยพร้อมยกระดับมาตรการป้องกันตนเอง
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ว่า ตามที่วานนี้ 24 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดการบรรยายสรุปกับคณะทูต เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วได้ยื่นหนังสือ 2 ฉบับ คือ 1. หนังสือถึงฝ่ายกัมพูชาเพื่อประท้วงเกี่ยวกับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 และ2.หนังสือถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมว่าด้วยการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาวาระปัจจุบัน รายงานเหตุการณ์การละเมิดพันธะกรณีของกัมพูชาในฐานะรัฐภาคีนั้น
ภายหลังฝ่ายไทยได้ยื่นหนังสือ 2 ฉบับ ดังกล่าว รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งที่เหตุการณ์ความรุนแรงยังเกิดขึ้นอีกครั้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาและเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (24 ก.ค.) ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฎิบัติการของไทยประสาทตาเมือนธม จ. สุรินทร์ อีกทั้งได้ยิงจรวด BM 21 จำนวน 2 นัด ในพื้นที่ชุมชนศูนย์พัฒนาชายแดน กาบเชิง จังหวัดสุรินทร์เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ขณะนี้เหตุการณ์โจมตีที่ไม่ใช่เป้าหมายทางการทหารยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในเฉพาะพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่โรงพยาบาลพนมดงรัก และสถานที่ต่างๆ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย อีกทั้งช่วงเย็นวานนี้ (23 ก.ค.) ทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืนจังหวัดอุดรราชธานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บบาดเจ็บ 5 นาย และมี 1 นายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาขวา โดยการตรวจสอบเบื้องต้น กองทัพภาค ที่ 2 คาดว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกนำมาวางใหม่นับเป็นเหตุการณ์ซ้ำซ้อน และเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ จากกรณีที่ทหารไทยอีกชุดหนึ่งประสบเหตุในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี
จากนั้น นายนิกรเดช ได้อ่านแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อสถานการณ์ไทย – กัมพูชา ว่า
- รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชาที่ละเมิดอธิปไตยของไทย และกฎหมายระหว่างประเทศ ต่อเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาลอบเข้ามาวางกับระเบิดในดินแดนไทย เป็นผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม 2568 และได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการของฝ่ายไทย ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 รวมทั้งได้โจมตีอย่างรุนแรงต่อเนื่องในพื้นที่ฝั่งไทยตลอดเช้านี้ รวมถึงเป้าหมายพื้นที่ที่เป็นพลเรือน โดยเฉพาะโรงพยาบาล จนเป็นเหตุให้ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต
- ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงความร้ายแรงดังกล่าวจากการที่กัมพูชาจงใจมีการกระทำเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนต่อประเทศไทย รัฐบาลไทยจึงตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและเรียกเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศไทย (recall) และขอให้เอกอัครราชทูตกัมพูชากลับประเทศเช่นกัน
- รัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซ้ำๆ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและความสุจริตใจ อีกทั้งจะยิ่งเป็นการบ่อนทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของกัมพูชาในประชาคมโลก
- รัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยุติการโจมตีเป้าหมายทางทหารและพลเรือน รวมถึงยุติการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยทันที โดยรัฐบาลไทยพร้อมที่จะยกระดับมาตรการป้องกันตนเอง หากกัมพูชายังคงไม่ยุติการกระทำที่เป็นการโจมตีทางอาวุธและละเมิดอธิปไตยของไทยตามหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ

นายนิกรเดช ยังระบุได้ว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.ค.) จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อหารือถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยที่ประชุมจะพิจารณามาตรการและแนวทางในขั้นถัดไปของฝ่ายไทยอย่างรอบด้าน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทำงานอย่างมีเอกภาพ และทำงานไปพร้อมกัน ในด้านความมั่นคง การทูต การบริหารจัดการในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนและในช่วงเวลาที่สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน การสื่อสารในสังคมโดยเฉพาะช่องทางสื่อสารออนไลน์อาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด และสร้างความแตกแยกโดยไม่ได้ตั้งใจ กระทรวงการต่างประเทศขอให้สังคมเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกหน่วยงานและฝ่ายความมั่นคง เพื่อความสามัคคีของคนในชาติซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถาม จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไทยยังคงย้ำจุดยืน ว่า จะยึดหลักการด้านสันติภาพ และหลักการเจรจาทวิภาคีหรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า หลักการดังกล่าวจะถูกนำเข้าไปพิจารณาในที่ประชุม สมช. ในช่วงบ่ายวันนี้
ส่วนที่สังคมตั้งคำถามถึงท่าทีของไทยว่าทำไมต้องอดทนและ ต้องดำเนินการตามกฎตามระเบียบในขณะที่กัมพูชาจะทำอะไรก็ได้ จุดยืนของไทยกับกัมพูชาต่างกันอย่างไรทำไมไทยถึงต้องรักษาจุดยืนนี้ต่อประชาคมโลก นายนิกรเดช กล่าวว่า
ประเทศไทยพูดมาตลอดว่าเรายึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ ธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ กฎระเบียบสหประชาชาติ และกฎบัตรของอาเซียนนั้นเป็นเหตุให้ไทยได้ใช้ความอดทน อดกลั้นถึงจุดนี้ และวันนี้เราก็เป็นฝ่ายเริ่มแต่เราได้ป้องกันตนเอง ซึ่งได้ดำเนินการอย่างสมเหตุสมผลเพื่อ ปกป้องอธิปไตยของชาติและคนไทย
ส่วนในกรณีที่เกิดขึ้นน่าจะรู้กันทั้งประชาคมอาเซียนและทั่วโลกแล้ว ในเบื้องหลังประเทศต่างๆในอาเซียน ได้พยายามจะเข้ามาช่วยเหลือสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอย่างไร นายนิกรเดช กล่าวว่า ยังไม่มี ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ และยังไม่มีการเรียกร้องมาจากประเทศใดในอาเซียน หรือประเทศอื่นๆเพื่อขอเข้ามามีบทบาทใดๆ
เมื่อถามว่าขณะนี้ลดความสัมพันธ์แต่ถ้าไปถึงขั้นสัมพันธ์ทางการทูตจะต้องทำอย่างไรบ้าง นายนิกรเดช กล่าวว่าในการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตเราสามารถลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เมื่อลดถึงระดับสุดก็จะนำไปถึงการตัดสัมพันธ์ทางการทูต วันนี้เราได้ดำเนินการที่เรียกทูตไทยกลับประเทศ และได้ขอให้ฝ่ายกัมพูชาเรียกทูตของเขากลับ อันเป็นการลดระดับมาตรการทางการทูต และเป็นการเปิดช่องให้ข้าราชการที่เป็นนักการทูตมีช่องทางในการที่จะหารือกันได้อยู่ รวมถึงการดูแลคนคนไทย ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นเรื่องยากไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อตัดความสัมพันธ์ทางการทูตช่องทางในการพูดคุยติดต่อ หรือลดแรงกดดันที่มีทั้งสองฝ่ายจะถูกปิดประตูหรือทำให้การเจรจาหาจุดร่วมเพื่อให้มีความสงบเกิดขึ้นจะเป็นไปได้ยากดังนั้นเราจะยังไม่ไปถึงจุดนั้น
ส่วนคนไทยที่อยู่ในประเทศกัมพูชาขณะนี้มีอยู่จำนวนเท่าไหร่ นายนิกรเดช กล่าวว่า เคยมีอยู่ประมาณ 1000 คน แต่ตอนนี้ส่วนหนึ่งได้กลับมาแล้วและอยู่ระหว่างสถานเอกอัครราชทูตกำลังเช็คตัวเลขแต่มีอยู่หลาย 100 คน
เมื่อถามถึงการยกระดับเวทีโลก หรือนานาชาติต้องผ่านกระบวนการอย่างไรหรือต้องทำในรูปแบบไหนอย่างไร หรือมีการทำไปแล้ว นายนิกรเดช กล่าวว่า การไปมีบทบาทระหว่างประเทศเราได้ดำเนินการแล้ว ในขณะที่เรากำลังแถลงข่าวอยู่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และได้พบกับประธานคณะมนตรีความมั่นคงซึ่งประธานจะเปลี่ยนทุกเดือน โดยได้พบกับประธานของเดือนนี้คือปากีสถาน และปานามา ซึ่งจะเป็นประธานในเดือนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในวันนี้จะพบกับเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงผู้แทนประเทศสำคัญต่างๆไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น รัสเซีย และประเทศอื่นๆ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอย่างเต็มที่ไม่ใช่เฉพาะที่นิวยอร์ก ยังมีการยื่นหนังสือที่ การประชุมออตตาวา ก็ใช้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรของไทยประจำเจนนีวา ท่านทูตทุกคนได้รับแนวทางในการไปปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของไทยในเวทีโลกพร้อมๆกัน ดังนั้นการดำเนินการของเราไม่ได้อยู่แค่เวทีสหประชาชาติ แต่ยังมีการพูดคุยกับประเทศที่เรามีความสนิทสนมด้วยทั้งหมด .-316 -สำนักข่าวไทย