มติวุฒิสภาเดินหน้าโหวตองค์กรอิสระ-สว.เสียงข้างน้อย วอล์กเอาต์วุ่น

รัฐสภา 30 พ.ค.- ตามคาด! “วุฒิสภา” เดินหน้าโหวตตั้งองค์กรอิสระ-ตุลาการศาล รธน. แม้ยอมให้ถกญัตติชะลอนานกว่า 3 ชั่วโมง ด้าน สว.เสียงข้างน้อย วอล์กเอาต์ไม่ขอร่วมสังฆกรรม พร้อมให้เหตุผลขัดกันแห่งผลประโยชน์ สว.กว่า 100 คนถูกกล่าวหาฮั้ว ขู่หากเดินหน้าเสี่ยงถูกร้องจริยธรรม ขณะที่ “ฉัตรวรรษ” โต้ ยังเป็น สว. ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อ ซัด “ดีเอสไอ” ดำเนินการโดยมิชอบ


การประชุมวุฒิสภาวันนี้มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าในการระเบียบวาระเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561) ซึ่งเป็นการประชุมลับ ขอให้สว.ใช้บัตรลงคะแนนของตัวเอง ไม่สามารถออกเสียงด้วยวาจาแทนได้ แต่ขอหารือหยิบยกเรื่องด่วนที่ 5.ขึ้นมาพิจารณาก่อน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและมีผลต่อการพิจารณาเรื่องให้ความเห็นชอบ คือเรื่องด่วนชอให้ ชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้งและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จนกว่ามีคำตัดสินในคดีที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวนมากตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้องขณะนี้ ที่เสนอโดยนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย

นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่าต้องขอบคุณสมาชิกและวิปวุฒิที่ใจกว้างให้เลื่อนญัตตินี้ขึ้นมา และระบุว่าตนเข้าใจและเห็นใจเพื่อนสว.ทุกคนที่โดนเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยเห็นกระบวนการไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปิดหมาย และเปิดเผยต่อสื่อ รวมถึงกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมซึ่งกำกับดูแลดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่เรื่องนี้ควรให้องค์กรอิสระคือกกต.เข้ามาดำเนินงาน จึงนำเหตุและผลของสว.ที่ไปร้องเรื่องนี้เพื่อไม่ให้มีการแทรกแซง และคงไว้ซึ่งความเป็นอิสระในการตรวจสอบเรื่องนี้ โดยคำนึงถึงหลักการว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ความเป็นอิสระ ไม่ถูกแทรกแซง มาเสนอเป็นญัตตินี้ เนื่องจากการการประชุมวุฒิสภาก่อนหน้านี้ได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติและความประพฤติผู้ดำรงตำแหน่งกกต. 1 คน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2คน รวมทั้งให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการป.ป.ช. โดยที่องค์กรเหล่านี้ต่างเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวน ไต่สวน พิจารณาคดีที่สว.จำนวนมากตกเป็นผู้ร้องและผู้ถูกร้องอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อการเห็นชอบและไม่เห็นชอบได้ ทั้งที่ร้องให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลง ฐานแทรกแซงดีเอสไอ และกรณีที่สว.ถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการได้มาซึ่งสว.ดังนั้นเพื่อเป็นหลักประกันในกระบวนการดำเนินคดีของศาลรัฐธรรมนูญ กกต. และป.ป.ช. ที่สว.ตกเป็นผู้ร้องและผู้ถูกร้องในเวลานี้ จะดำเนินการโดยอิสระ ปราศจากการแทรกแซง จึงไม่ควรมีความสัมพันธ์กับผู้พิจารณาคดี และไม่ควรให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว เพราะอาจจะทำให้เกิดความสงสัย เคลือบแคลงในกระบวนการยุติธรรม ความเป็นกลาง และการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่งผลต่อความเชื่อถือศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ต่อวุฒิสภาและ 3 องค์กรดังกล่าว ดังนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะมองว่า เรื่องที่ดำเนินการอยู่นี้ผิดหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ พร้อมเรียกร้องว่าไม่ควรปล่อยให้ สว. ทั้ง 13 คนซึ่งได้ลาออกจากกรรมาธิการฯ ต้องเดินตามหลักการอย่างโดดเดี่ยว เพราะพวกท่านนำทางไว้ให้เราแล้ว


ส่วนข้อกังวลว่า จะเกิดสุญญากาศหากไม่มีคนเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระต่างๆ นั้น เทวฤทธิ์ระบุว่า เราไม่ได้ชะลอตลอดไป เพียงแค่ในช่วงที่มีการตรวจสอบ ซึ่งคาดว่า 6 เดือนน่าจะแล้วเสร็จ และยังมีรักษาการดำรงตำแหน่งอยู่ได้ พร้อมขอให้สมาชิกคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาระหว่างการเดินหน้าต่อหรือชะลอไปก่อน

ด้านนางสาวนันทนา นันทวโรภาส สว. กล่าวว่าหากไม่บรรจุวาระการเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.และวาระการตั้งกรรมาธิการสามัญพิจารณาคุณสมบัติองค์กรอิสระอย่างเร่งรีบในสมัยประชุมวิสามัญนี้ เราคงไม่ต้องพิจารณาญัตตินี้ในวันนี้ เมื่อมีการบรรจุญัตตินี้แล้วก็หวังว่า สมาชิกทุกท่านจะเปิดใจกว้าง รับฟังเหตุผลและเสียงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศจนนำไปสู่การลงมติเห็นชอบให้มีการชะลอการลงมติใด ๆ เกี่ยวกับองค์กรอิสระออกไป พร้อมให้เหตุผลว่าที่สว.ต้องชะลอการลงมติเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรองค์กรอิสระ เพราะสว.กว่าครึ่งสภาฯ กำลังถูกแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งโดยมิชอบ โดย กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กำลังตรวจสอบอยู่ แม้ตามหลักกฎหมายจะถือว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถือว่าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หาก สว.ลงมติเห็นชอบ กกต.จะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ เลือกคนเข้ามาตรวจสอบคดีของท่านหรือไม่ อย่างนี้จะเรียกว่ามีธรรมาภิบาลหรือไม่ หรือเป็นเรื่องต่างตอบแทนกัน ส่วนกรณี ป.ป.ช. สว. จำนวน 92 คนยื่นเรื่องร้องเรียนเพื่อเอาผิดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ข้อหาละเว้นการปฎิบัติหน้าที่มาตรา 157 จากนั้นก็มีกลุ่ม สว.สำรองยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบจริยธรรมของ สว.92 คนข้อหาใช้อำนาจนิติบัญญัติก้าวก่ายการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ

“เมื่อท่านเป็นผู้ถูกร้องมีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง แต่ท่านจะยังใช้สถานะ สว.คัดเลือก ป.ป.ช.จำนวน 3 คน เพื่อเข้าไปวินิจฉัยคดีของท่านอีกหรือ จะเป็นธรรมต่อผู้ร้องและผู้ถูกร้องหรือ หากท่านชนะคดีทั้งหมด คู่กรณีและประชาชนจะคิดอย่างไรขณะที่กรณีศาลรัฐธรรมนูญ สว. 92 คนยื่นร้องให้ตรวจสอบรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในข้อหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ถอดถอนจากตำแหน่ง และขอให้ศาลสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหยุดปฏิบัติหน้าที่ ท่านเป็นผู้ร้องหากเห็นชอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ท่านเข้าไปดำรงตำแหน่งในขณะที่ท่านเป็นโจทก์อยู่จะเท่ากับว่าเป็นการเลือกผู้พิพากษามาตัดสินคดีของท่านเองหรือไม่ จะเป็นธรรมต่อฝ่ายจำเลยหรือไม่” นางสาวนันทนา กล่าว


นางสาวนันทนา กล่าวต่อว่า แม้ ไม่มีกฎหมายใดเปิดช่องให้หยุดปฎิบัติหน้าที่เป็นบางส่วนได้ หรืออาจมีผู้ร้องว่า สว.ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 93 ปีของประชาธิปไตยไทยที่ สว.ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเกินครึ่งสภาฯ ย่อมไม่มีกฎหมายไหนตามทัน เพราะเป็นเรื่องใหม่เพิ่งเกิดขึ้นในรุ่นนี้ เมื่อกฎหมายตามไม่ทันก็ต้องใช้จิตสำนึกและจริยธรรม ซึ่งศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้เสนอทางออกไว้ กฎหมายไม่ได้เขียนห้ามก็จริงแต่ประเด็นที่ละเอียดกว่ากฎหมายสมควรทำหรือไม่ มันจะฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่ ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นที่คิดว่าไม่มีปัญหามันจะเป็นปัญหาใหญ่ เวลาตรวจสอบบุคคลที่ทำหน้าที่สำคัญต้องตรวจสอบทางจริยธรรมว่า เป็นแบบอย่างได้หรือไม่ เมื่อเราจะตรวจสอบเขา การตรวจสอบต้องมีมาตรฐานจริยธรรม เพราะฉะนั้นเพื่อความรอบคอบควรเลื่อนภารกิจนี้ไปก่อน เพราะคนในองค์กรอิสระยังทำงานได้อยู่ ไม่ได้มีเหตุว่าถ้าไม่ผ่านภายในวันนี้ เดือนนี้จะเกิดสุญญากาศ

ทั้งหมดเป็นคำแนะนำของปรมาจารย์ด้านกฎหมาย ที่ชี้ทางให้ สว.ทั้งหลายชะลอการทำหน้าที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระออกไปก่อน เพื่อความสง่างามของการดำรงตำแหน่ง สว.และเพื่อไม่ให้การลงมติในวันนี้สร้างปัญหาต่อประเทศชาติและต่อตัวท่านเอง ทั้งนี้ สว.กลายเป็นเรื่องโด่งดังที่ประชาชนพากันจับตาว่า จุดจบของคดีนี้จะเป็นอย่างไร หากท่านทั้งหลายไม่ปิดหูปิดตาตนเอง ท่านย่อมทราบดีว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมากกล่าวขานถึง สว.ชุดนี้อย่างไร เขาคลางแคลงใจต่อที่มาของ สว.ชุดนี้มากเพียงใด

นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายสนับสนุนญัตติให้ชะลอการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งใสองค์กรอิสระว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยระยะหลังเกิดขึ้นเพราะองค์กรอิสระมาโดยตลอด นายกรัฐมนตรีบางคน ประชาชนเลือกเข้ามา 14- 15 ล้านเสียง แต่ก็ตกกระป๋องเพราะมติของกรรมการองค์กรอิสระเพียง 9 คน ทฤษฎีใหม่ทางการเมืองบอกว่า การควบคุมประเทศไทยต้องหาทางให้มีส่วนได้เสียในการแต่งตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งก็มีคณะปฏิวัติรัฐประหารได้มีส่วนในการแต่งตั้งองค์กรอิสระแล้วก็ปกครองประเทศมายาวนาน ผู้มีอำนาจแต่งตั้งก็ไม่มีความผิด เหมือนอย่างกรณีที่รู้จักกันทั้งประเทศว่ายืมนาฬิกาเพื่อนก็ไม่ผิดเพราะองค์กรอิสระบอกว่าไม่ผิด องค์กรอิสระคือทฤษฎีควบคุมประเทศไทยยุคใหม่ แม้เราจะพ้นจากการปฏิวัติรัฐประหาร แต่เราก็มาเจอรูปแบบใหม่ในการควบคุมองค์กรอิสระ คือวุฒิสภา

“ทั้งนี้ เมื่อวุฒิสภาแต่งตั้งองค์กรอิสระแล้วอยู่ไปได้อย่างน้อย7-9 ปีโดยไม่มีการถอดถอน ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีองค์กรอิสระ รัฐธรรมนูญปี 2540 แต่งตั้งและถอดถอนองค์กรอิสระได้ เพราะเป็นคนมีผิดชอบชั่วดีได้ผิดพลาดได้ แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 ให้องค์กรอิสระอยู่ไปจนครบวาระแต่งตั้งเสร็จแล้วถอดถอนไม่ได้ เหมือนตีเช็คเปล่าแล้วไปกรอกตัวเลขเอาเอง ตรงนี้เป็นอันตราย ผมขอเตือนว่าอย่าให้ประเทศชาติถึงทางตัน คือคนเสื่อมศรัทธาองค์กรอิสระ เสื่อมศรัทธาต่อกระบวนการแต่งตั้งที่มีปัญหา วันนี้สว.ส่วนหนึ่งอยู่ในการไตร่สวนสอบสวนของกกต. วันนี้ก็มีการประกาศเพิ่มเติมเรียกผู้ถูกกล่าวหาไปชี้แจงอีก 22 คนรวมแล้วเป็น 127 คน จากจำนวนวุฒิสภา 200 คน เรื่องแบบนี้จึงต้องระวัง เพราะถ้าไม่ระวังเกิดเหตุเหตุภัยทีหลังจะเป็นผลอย่างที่อาจารย์จรัญภักดีธนากุลได้กล่าวเอาไว้” นพ.เปรมศักดิ์กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ตนมีความห่วงใยไม่อยากให้ติดกับดัก เราจะชะลอการแต่งตั้งไปก่อนได้หรือไม่ ถ้าเราพิสูจน์แก้ข้อกล่าวหาถึงที่มาแล้วเสร็จค่อยมาพิจารณาแต่งตั้งองค์กรอิสระถึงจะสง่างาม ไม่มีใครต่อว่าเราได้ อย่าลืมว่า เมื่อวุฒิสภาเลือกแล้วต้องนำรายชื่อผู้ได้รับการแต่งตั้งขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นขั้นตอนสุดท้าย เราจึงควรกลั่นกรองให้ใสสะอาดก่อนเพื่อไม่ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทจะดีหรือไม่

สำหรับกรณีที่มีบางคนบอกว่า ถ้าสว.ไม่เลือกจะผิดมาตรา 157 ขอบอกว่าเป็นการพูดที่ใช้ตรรกะในทางที่ผิด เช่นเดียวกับตำรวจเห็นผู้ต้องหามีหมายจับปรากฏตัวต่อหน้าแล้วไม่จับนั่นผิดมาตรา 157 แต่กรณีนี้ไม่เกี่ยวกับมาตรา 157 เพราะเป็นการประชุมสมัยวิสามัญฯ ไม่บรรจุเรื่องนี้มาก็ได้รอไปพิจารณาในสมัยประชุมสามัญก็ได้ แต่เมื่อมีการบรรจุในระเบียบวาระแล้วให้ชะลอไว้ก่อนได้ การพิจารณาจะช้าหรือเร็วไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่วุฒิสภาเลือกองค์กรอิสระต้องสง่างาม อย่ามองว่าวุฒิสภาจะทำอะไรก็ได้ อย่าลืมว่าวุฒิสภาอยู่ได้ต้องอาศัยความศรัทธาจากประชาชน ถ้าสวนกระแสประชาชนจะเป็นปัญหาภายหลังได้ เมื่อถึงวันนั้นเราจะเสียใจในภายหลัง วันนี้เรามีเครื่องมือมีอำนาจในการแต่งตั้งองค์กรอิสระ ถ้าเราทำอย่างสุกเอาเผากินไม่ฟังเสียงทักท้วงไม่ฟังเสียงใครมันจะกลายเป็นมูมเมอแรง ที่กว้างออกไปแรงมันก็จะย้อนกลับมาเร็วตัดคอพวกเราเอง

นาวาตรีวุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ ตนเข้าใจว่าสว. 100 กว่าคนยังเป็นผู้สงสัยในคดีฮั้วสว.อยู่ และเขื่อว่าสามารถชี้แจงได้ แต่การจะไปชี้แจงจะต้องไปที่กกต. ศาลธรรมนูญ จะเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นกระบวนการรวจสอบควรจะต้องเร่งรัด เพราะหากกระบวนการตรวจสอบยังล่าช้า จะทำให้กกต. ตุลาการศาลธรรมนูญ ป.ป.ช.จะต้องถูกสรรหาโดยกระบวนการที่มีอาจจะเกิดปัญหาในอนาคตเช่นกัน และทำให้ประชาชนอาจเกิดความไม่เชื่อมั่น ดังนั้นตนขอความกรุณาสว.ทุกคนให้ช่วยกัน เพราะวันนี้ประชาชนเฝ้าดูอยู่ว่าเราจะตัดสินกันอย่างไร ตนขอแค่เลื่อนไปสมัยประชุมปกติอีกเดือนเศษๆ และในระหว่างนี้ขอให้องค์กรที่ตรวจสอบทำงานอย่างเต็มที่ เชื่อว่าน่าจะเสร็จทันถ้าทำกันอย่างเต็มที่ ตอนนี้เห็นว่าบรรยากาศในวุฒิสภามีความเครียดกังวลกันไปหมด ไปไหนก็มีแต่คนถาม คนที่เคยเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก วันนี้ไม่มองหน้ากันไปแล้ว เพราะทุกคนมีความกังวลและเครียดว่าอีกคนเป็นคนของฝ่ายหนึ่งตลอด กลุ่มสว.ที่ไม่มีค่ายก็ถูกกล่าวหา กลุ่มที่มีค่ายก็โดนป้ายสี เหมือนปลาอยู่ในข้องเดียวกัน เวลาเน่า ก็เน่ากันหมด ดังนั้นวันนี้สังคมยังตัดสินเราอยู่ จึงควรเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนจนเปิดสมัยประชุมปกติ

“จะมีอะไรเสียหาย คนที่เสียหายไม่ใช่สว. คนที่ตรวจสอบทำให้เราทำงานไม่ได้ ดังนั้นเราต้องแก้ข้อกล่าวหา ตอนนี้มีข่าวลือสารพัด ว่าคนที่เป็นองค์กรอิสระจะต้องไปแถวซอยรางน้ำบ้าง ซึ่งก็ไม่รู้ไปทำอะไร หรือต้องไปจังหวัดที่มีโพเดี้ยมใหญ่ๆ ก็ไม่รู้ไปทำอะไร ไปจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบ ข่าวลือหรือไม่ ดังนั้นการเผชิญหน้ากับข่าวลือที่ดีที่สุด คือการชี้แจงความเป็นจริง ไม่ควรให้คนที่พูดความจริงต้องรับผิดชอบโดยการเอาไปบูชายันต์ ท่านครับ ท่านประธานครับ เพื่อสมาชิกครับ ขอความกรุณา ถ้าเราไต่ตรองให้ดี ขอให้เลื่อนเวลาไปพิจารณาในสมัยประชุมปกติ ผมว่าประชาชนจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง และชื่นชมความเสียสละของพวกเรา ไม่ว่าท่านจะได้รับอะไรมาก็ตาม หรือรับคำสั่งจากใครมาก็ตาม วันนี้ขอความกรุณางดฟังคำสั่งที่มาโดยไม่ถูกต้อง ใช้หัวใจและสมองของท่าน คิดอย่างไรลงมติตามนั้น เพราะสว.ทั้งหลายมาจากเสียงประชาชน” นาวาตรีวุฒิพงศ์ กล่าว

ด้าน พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร ลุกขึ้นอภิปรายว่า เมื่อเช้า ตนมาไม่ทัน นายเทวฤทธิ์พูดว่าตนขอถอนตัวออกจากการตรวจสอบ โดยการลาออกจากการเป็นคณะกรรมการ ตนชี้แจงว่าเรื่องลาออกนั้น ไม่ใช่เรื่องที่การยื่นญัตติ แต่เป็นเรื่องที่ตนสำนึกว่าตนไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงขอให้ทราบว่าเป็นคนละประเด็นกัน ตนขอเรียนให้ที่ประชุมแห่งนี้ได้รับทราบว่า สว. เรามาจากกลุ่มอาชีพมากมาย เรารับการถูกกระทำมาโดยตลอด ตั้งแต่เรื่องการสืบสวน การร้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดก็แล้วแต่ ประเด็นที่ทำให้ตนและเพื่อนสมาชิกส่วนหนึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาโดยคณะอนุกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เริ่มมาจากการที่อธิบดีดีเอสไอ รับคดีการได้มาซึ่ง สว. ซึ่งตามอำนาจหน้าที่สามารถสืบสวนได้ แต่ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาเป็นคดีพิเศษ ต้องส่งให้ กกต. เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย ซึ่งตามข้อเท็จจริง กกต. ก็พิจารณาหลายเรื่องเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว. การกระทำของดีเอสไอจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ ตนได้ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช.ให้พิจารณาเรื่องจริยธรรม เราก็ปล่อยให้เป็นคดีไป สื่อมวลชนจะว่าอย่างไร เราก็ถือว่าปกป้องสิทธิ์สมาชิกวุฒิสภาทุกท่านที่ได้มาอยู่ในสภาแห่งนี้

พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ ไล่เรียงว่า พอดีเอสไอตั้งเป็นคดีพิเศษปั๊บ ก็ไม่หยุดการดำเนินการ ยังดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีกฎหมายให้อำนาจ ย่อมไม่สามารถที่จะทำได้ จนคณะไต่สวนที่ 26 ของ กกต. ก็นำเรื่องทั้งหมดเข้ามาพิจารณา แต่มี 3 คนมาจากดีเอสไอ ที่เชื่อได้ว่านำสำนวนการสอบสวนที่ดีเอสไอไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ส่งให้ส่งคณะอนุฯไต่สวนทำต่อ ซึ่งเราก็ยินดีที่จะรับทราบข้อกล่าวหา แต่ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่สามารถให้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาได้ แม้กระทั่งผู้ตั้งคำถามหรือผู้ที่แจ้งการกระทำผิด ก็ยังไม่สามารถที่จะตอบคำถามได้ ตนได้นั่งคุยกับคณะสอบสวนในชุดนี้ เขาไม่สามารถที่จะตอบได้ถึงพฤติการณ์ที่กล่าวหา

“แล้วจู่ๆ จะมาให้เพื่อนสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกกล่าวหานั้นหยุดปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ได้ขอความเป็นธรรมต่อประธาน กกต. เรียบร้อยแล้ว” พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าว

พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ ระบุว่า การเรียกเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาเป็นการกระทำโดยมิชอบ หวังผลประการใดประการหนึ่ง จงใจให้ได้รับความเสียหาย จึงจะเข้าสู่ประเด็นว่า สว. ที่ถูกกล่าวหานั้นขาดจริยธรรมหรือไม่

“ผมมองว่าจริยธรรม มันต้องเกิดจากการกระทำของบุคคลนั้นๆ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงาม แต่จะถามหาจริยธรรมในครั้งนี้ เราถูกกระทำจากอำนาจที่ใช้โดยมิชอบ เพราะฉะนั้น จึงถือว่าผมยังเป็นคนหนึ่งที่ได้มาได้มาจากการได้รับการเป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตามที่ กกต. ให้การรับรองไว้” พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าว

พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าวอีกว่า วันนี้เพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่มองว่าอาจจะเป็นการขัดกันของผลประโยชน์ของ เป็นเรื่องของจริยธรรม ไม่ควรที่จะมาตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติตนขอยืนยันว่าเรามีขั้นตอนในการดำเนินการตามระเบียบของข้อบังคับสภา เราไม่สามารถดำเนินการนอกเหนือระเบียบที่ตั้งไว้ได้ จะต้องดำเนินการตามที่มีกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจน การตรวจสอบประวัติ เราไม่ได้ตรวจสอบโดยคณะกรรมาธิการอย่างเดียว เราตรวจสอบไปยังองค์กรต่างๆในส่วนที่เกี่ยวข้องหลายส่วนมาก

“อย่ามาว่ามีจริยธรรมหรือไม่ ตราบใดที่ผมยังไม่เชื่อมั่นในองค์กรที่สอบสวนหรือไต่สวน ผมถือว่าผมยังเป็นผู้มีจริยธรรม รวมทั้งเพื่อสมาชิกที่ถูกกล่าวหาทุกท่าน จึงไม่อาจที่จะชะลอการดำเนินดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสามัญตามวาระวันที่ 30 พ.ค. นี้ได้” พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าว

หลังจากที่ สว. อภิปรายครบถ้วนแล้ว ได้มีมติไม่เห็นด้วยกับญัตติของนายเทวฤทธิ์ด้วยคะแนนเสียง 125 ต่อ 37 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง จึงเดินหน้าพิจารณาเรื่องตามวาระที่กำหนดไว้ในระเบียบวาระต่อไป อย่างไรก็ตามหลังการลงมติ นายเปรมศักดิ์ นส.นันทนา ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวว่าไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับการประชุมวุฒิสภาในการตั้งกรรมการในองค์กรอิสระ และสว.เสียงข้างน้อยได้วอล์คเอ้าท์ หรือประท้วงเดินทางออกจากห้องประชุมทันที.312 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

น่านยังอ่วม บางจุดน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร

น่าน 25 ก.ค. – เข้าสู่วันที่ 3 น้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ของเมืองน่าน แม้ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว แต่ในตัวเมือง-เขตเศรษฐกิจยังท่วมสูง บางจุดระดับน้ำเกือบ 2 เมตร ขณะที่ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” นำทีมกู้ภัยฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน .-สำนักข่าวไทย

มีผลทันที! ประกาศกฎอัยการศึก 8 อำเภอ “จันทบุรี-ตราด”

25 ก.ค.- กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ประกาศใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่ มีผลทันที กองทัพเรือ โดย กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด “ประกาศใช้กฎอัยการศึก” บางพื้นที่ ดังนี้ ตามที่ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลงวันที่ 19 กันยายน 2549 ให้ใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลา 21.05 นาฬิกา ซึ่งต่อมาได้มีพระบรมราชโองการเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ และให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 นั้น โดยที่ปรากฏว่าประเทศกัมพูชาได้ใช้กำลังและอาวุธรุกรานเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตลอดแนวชายแดน จึงมีความจำเป็นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่ต้องใช้กำลังทหาร ตำรวจ พลเรือน ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคน เพื่อป้องกันประเทศให้พ้นจากภัยคุกคามอันมีที่มาจากภายนอกราชอาณาจักรดังกล่าว เพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย และจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 176 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 จึงให้ใช้กฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 จังหวัดจันทบุรี อำเภอเมืองจันทบุรี […]

จรวด BM-21 ตกในพื้นที่สุรินทร์ 6 ลูก เร่งอพยพคนเพิ่ม

สุรินทร์ 25 ก.ค. – กระสุนของฝั่งกัมพูชามาตกไกลกว่าเหตุปะทะปี 2554 ตามที่เจ้าหน้าที่คาดการณ์ ล่าสุดมีจรวด BM-21 จำนวน 6 ลูก ตกในพื้นที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เตรียมอพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัยกว่า .-สำนักข่าวไทย

สดุดี 3 ทหารกล้า สมรภูมิปราสาทตาควาย

25 ก.ค.- กองทัพภาคที่ 2 สดุดี 3 ทหารกล้า สละชีพ สมรภูมิปราสาทตาควาย หลังกัมพูชายิงจรวด BM-21 หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันมีทหารไทยเสียชีวิต 3 นาย จากการปฏิบัติหน้าที่เมื่อช่วงเช้าวันนี้ที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ หลังกัมพูชายิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ซึ่งกัมพูชานำไปจอดไว้ในพื้นที่ชุมชน โรงเรียน และวัด เพื่อเป็นโล่กำบัง โดยทหารที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ ได้แก่ 1.สิบเอกนพดล บุญเลิศ 2.สิบเอก กฤษฎา น้อยโคตร 3.สิบเอก จิรายุ สิงห์อ้น กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล ที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 ร้อย.ลว.ไกล 6 และมีสิบเอกสุทธิชัย เรื่อเรือง ได้รับบาดเจ็บ -สำนักข่าวไทย