สภารับหลักการ ‘ร่าง กม.รฟม.’ ตั้ง กมธ.วิสามัญ 25 คน

รัฐสภา 28 พ.ค.- สภารับหลักการ ‘ร่าง กม.รฟม.’ พร้อมตั้ง กมธ.วิสามัญ 25 คน ‘กล้าธรรม’ เสนอ ‘งูเห่ากฤษฎิ์’ ร่วมคณะ ด้าน ‘สส.ปชน.’ ประกาศไม่รับ เหตุเป็นเพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ ‘รัฐบาล’ เปิดช่องให้ล้วงกระเป๋าเอาเงินกว่า 1.6 หมื่นล้าน ขณะที่ ‘ชนินทร์’ รับ แก้กฎหมาย เพื่อดำเนินนโยบาย ‘รฟฟ. 20 บาทตลอดสาย’ ง่ายขึ้น ส่วน ‘จุติ’ ไม่เห็นด้วย ออกพันธบัตร-กู้เงิน พร้อมขอให้ทบทวน


ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุมได้พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่าเพื่อให้ รฟม.สามารถดำเนินกิจการรถไฟฟ้าและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการตั๋วร่วม ทำให้การเดินทางมีความสะดวก คล่องตัวแก่ประชาชน และรฟม.สามารถจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินซึ่งรวมถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อแสวงหารายได้ให้แก่หน่วยงาน ช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐ เช่นก ารพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานี, การบริหารจัดการพื้นที่โฆษณา, การให้เช่าพื้นที่ร้านค้า, การให้บริการ Wi-Fi

นอกจากนี้ให้ รฟม.สามารถออกพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารอื่นเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ รฟม. นอกเหนือจากเพื่อการลงทุน ได้ และการกำหนดอัตราค่าโดยสาร ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมการใช้ทรัพย์สิน ของ รฟม. ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากเดิมต้องผ่าน ครม.


ด้านนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน อภิปรายว่า กฎหมายฉบับนี้เสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดึงเงินสะสมมาอุดหนุนรถไฟฟ้าโครงการ 20 บาทตลอดสายตามที่รัฐมนตรีฯ ให้สัมภาษณ์ พร้อมตั้งคำถามถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการประสานงานแต่ละปี

เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้มากับต้นทุน โดยเฉพาะเป็นการล้วงกระเป๋าของ รฟม. พร้อมหยิบยกเหตุผลที่เคยประกาศว่าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทำไม่ได้ แต่รัฐบาลควรทำราคาค่ารถไฟฟ้า 8-45 บาทตลอดทาง มองระบบขนส่งการไฟฟ้าอย่างเป็นระบบ พร้อมชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย 4 ข้อ ดังนี้

  1. ร่างกฎหมายวันนี้ เร่งรีบแซงคิวอย่างน่าเกลียด
  2. ร่างที่เข้าสภาแตกต่างจากที่รับฟังความเห็นมามาก
  3. เนื้อหาแก้ไม่ได้ตั้งใจทำให้ รฟม. ดีขึ้นแต่เป็นการแก้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาล
  4. การลดภาระค่าเดินทางควรทำอย่างรอบคอบผ่านกลไกค่าโดยสารตั๋วร่วมที่ต้องคำนึงถึงผลระยะยาว

“พ.ร.บ. นี้มีมาเพื่อล้วงกระเป๋า รฟม. 16,000 บาท เพื่อมาทำนโยบาย 20 บาทให้อยู่ได้ 2 ปี ไม่ได้อยู่ยั่งยืนจีรัง ที่เหลือคือหนี้ที่ทุกคนจะต้องร่วมกันจ่ายและการตัดสินใจของรัฐบาลน่าจะจะเอาอย่างไรต่อกับเรื่องนี้ และการเลือกทำนโยบายแบบนี้แน่นอนประชาชนอาจจะไม่พอใจเพราะเคยจ่ายถูก แต่ถูกอย่างไม่สมเหตุสมผล การเสนอกฎหมายครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาให้ รฟม. แต่แก้ปัญหาที่รัฐบาลสร้างขึ้นไม่สมเหตุสมผล 20 บาทตลอดสายโดยจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการล้วงกระเป๋า รฟม.” นายสุรเชษฐ์ กล่าว


ขณะที่ นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อแก้ไขและส่งเสริมกลไกการกำหนดค่าโดยสารในระบบรถไฟฟ้า โดยอาศัยรายได้จากการบริหารระบบรถไฟฟ้าเอง

ประเทศไทยประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าแบบแยกสาย โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนแทนรัฐ และมีการคิดกรอบค่าโดยสารแยกเป็นรายสาย เพื่อให้เอกชนสามารถคืนทุนได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้ค่าโดยสารมีราคาสูง และเกิดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนจากการเปลี่ยนสาย ส่งผลให้การบริหารจัดการไม่มีความเชื่อมต่อ หลายรัฐบาลพยายามดำเนินการเรื่องนี้แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากหากจะดำเนินการให้ยั่งยืน จำเป็นต้องทำผ่านการตรากฎหมาย

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเพื่อไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาขนส่งมวลชนให้มีราคาถูก สะดวกสบาย และใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในหลายมิติ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มีการเสนอแก้ไขกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ขนส่งทางราง และ พ.ร.บ.การจัดการระบบตั๋วร่วม โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม วิธีการบริหารจัดการ และรูปแบบการจ่ายให้มีมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงวางแผนโครงสร้างระบบรถไฟฟ้าและระบบตั๋วร่วมในอนาคต

นอกจากนี้ กฎหมายยังให้อำนาจในการออกพระราชกฤษฎีกา และกำหนดให้เอกชนทุกรายต้องเข้าร่วมระบบตั๋วร่วม เพื่อให้การดำเนินการนี้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งขณะนี้ ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับได้ผ่านการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการแล้ว และรอเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 2-3 ของการประชุมสมัยหน้า หากผ่านความเห็นชอบ จะทำให้ระบบตั๋วร่วมเกิดขึ้นจริง มีราคาที่เหมาะสม และการบริหารจัดการเชื่อมโยงกัน

นายชนินทร์ ยังกล่าวถึงราคารถไฟฟ้าว่า พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้อัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 20 บาทตลอดสาย โดยมีการประกาศนโยบายแล้วจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งภายในเดือนกันยายนนี้จะเริ่มใช้งานระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายอย่างแน่นอน แต่อุปสรรคสำคัญคือ การลดราคาในช่วงที่เอกชนยังถือสัมปทานเดิมอยู่ ซึ่งอาจไม่เป็นธรรมต่อเอกชน ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องชดเชยรายได้ที่หายไปในระหว่างสัมปทานยังไม่สิ้นสุด โดยต้องหาวิธีชดเชยที่เหมาะสม ไม่ใช่การชดเชยทุกบาททุกเที่ยว

ทั้งนี้ เมื่อราคาค่าโดยสารถูกลง ประชาชนจะใช้บริการมากขึ้น แม้รายได้เฉลี่ยต่อคนจะลดลง แต่จำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้รวมในระบบ ทำให้ช่องว่างของรายได้ลดลง และส่งผลให้ภาครัฐต้องชดเชยน้อยลงตามไปด้วย

นายชนินทร์ ยังกล่าวว่า หากพิจารณากฎหมายที่เสนอ จะเห็นว่าเป็นการเพิ่มเติมให้องค์การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สามารถจัดหาประโยชน์จากทรัพย์สินของตนเองได้ เพื่อให้ในอนาคต รฟม. สามารถดำเนินกิจกรรมเพื่อหารายได้เพิ่มเติม ซึ่งรายได้นี้จะถูกนำมาชดเชยค่ารถไฟฟ้าของประชาชน
อีกทั้ง รฟม. ยังสามารถนำรายได้ที่จัดเก็บได้ ไปใช้สนับสนุนการดำเนินการของระบบตั๋วร่วม ซึ่งเป็นการตอบคำถามว่า รัฐบาลจะใช้งบประมาณจากไหนเพื่อทำนโยบาย20 บาทตลอดสายโดยเปลี่ยนจากการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ มาเป็นการสนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะให้เข้าถึงได้ในราคาประหยัด และหาแหล่งรายได้ทางเลือกแทน

ฝ่าย นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายโดยตั้งคำถามต่อผู้ชี้แจงว่า เห็นด้วยที่รัฐบาลต้องการให้ประชาชนใช้ค่าโดยสารถูก 20 บาทตลอดสาย แต่ถามไปยังคณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่บริหารทรัพยากรที่ขาดแคลน ยอมรับว่านโยบายดังกล่าวเป็นประชานิยม

แต่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่ แต่ถามว่ารัฐบาลจะสามารถทำได้นานแค่ไหนโดยไม่ต้องใช้เงินเงินอุดหนุน หรือหาวิธีอื่นนอกจากใช้เงินเงินกองทุน รฟม. และ รู้สึกตกใจ มีข้อมูลจากผู้อภิปรายคนอื่นว่า รฟม. มีหนี้_6 แสนล้านบาท และมีกองทุน1.6 หมื่นล้าน ซึ่งสุดท้ายประชาชนก็จะต้องเป็นผู้ใช้หนี้

“วันนี้ท่านทราบแล้วว่ามีผู้โดยสารประมาณวันละ 2 ล้าน คน ถ้าเผื่อลดราคาอาจเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านคน เป็นสิ่งประเสริฐมากว่ากรุงเทพมหานครสามารถดูแลคน 3 ล้านคนให้มีค่าโดยสารที่ถูกลง ลดค่าของชีพจริงแต่ขอถามเถอะว่าเงินที่เอามานั้นมาจากไหน เราอยากช่วยคนจนผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพมหานครให้มีค่าโดยสารที่ถูก แต่ถามว่าท่านกำลังเอาเงินภาษีจากคนทั้งประเทศจากคนจนกว่า มาอุ้มคนจนด้วยกันหรือ ซึ่งเป็นคำถามที่รัฐมนตรีต้องตอบต่อสภา” นายจุติกล่าว

นายจุติ กล่าวต่อว่า ตนไม่สบายใจกรณีการอนุญาตให้มีการออกพันธบัตรได้เอง เพราะห่วงฐานะเครดิตความน่าเชื่อถือของกระทรวงการคลัง หากแต่ละกระทรวงออกปฏิบัติได้เองจะสามารถคุมวินัยการเงินการคลังได้อย่างไร และต้องบอกว่าวันนี้รัฐบาลไทยไม่ใช่เศรษฐีซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังเป็นหนี้อยู่และยังต้องกู้ จึงต้องการฟังการชี้แจง การบริหารนวัตกรรมการบริหารค่าโดยสารโดยไม่ต้องหยิบเงินจากกองทุนหรือออกพันธบัตรกู้ โดยย้ำให้คำนึงถึงความคุ้มค่า เพราะว่าเงินนั้นไม่ว่าใครกู้รัฐบาลก็เป็นหนี้และผู้จ่ายคือประชาชน

“ฝากไปยังกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นว่าช่วยกันระดมสมองว่า 20 บาทตลอดสายเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีกว่าคือไม่ต้องใช้เงินเงินกู้ไม่ต้องใช้เงินเงินอุดหนุน ความคุ้มค่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับยาจกประเทศไทย เราไม่ใช่เศรษฐี” นายจุติ กล่าว

ท้ายที่สุด เมื่อเข้าสู่การลงมติ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมรับหลักการร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จากจำนวนผู้ลงมติ 442 เสียง เห็นด้วย 295 เสียง ไม่เห็นด้วย 144 งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง

พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 25 คน แบ่งเป็น สัดส่วน ครม. 6 คน, สส. 19 คน แบ่งเป็น พรรคประชาชน 6 คน,พรรคเพื่อไทย 6 คน, พรรคภูมิใจไทย 3, พรรครวมไทยสร้างชาติ 1 คน, กล้าธรรม 1 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน และพลังประชารัฐ 1 คน

ทั้งนี้ พรรคกล้าธรรม ได้ขอเสนอชื่อ นางสาวกฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ที่ขณะนี้ประกาศร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมร่วมเป็นกรรมาธิการฯ.-312 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“มาริษ” แจงย้ำเวทีโลกกัมพูชาเปิดฉากโจมตีก่อน UNSC แนะเจรจาสันติวิธี

กระทรวงการต่างประเทศ 26 ก.ค.- “มาริษ” เผยเวที UNSC ให้ไทยกัมพูชายับยั้งชั่งใจ เจรจา 2 ฝ่ายสันติวิธียุติขัดแย้ง ย้ำแจงเวทีโลกแล้วกัมพูชาละเมิดอธิปไตยไทย-เปิดฉากโจมตีก่อน บอกสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นการคุกคามสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ สั่งกรมสนธิฯ พิจารณายื่นศาลอาญาโลกฟ้องเขมรฐานอาชญากรสงคราม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อนำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี ค.ศ. 2025 (High-Level Political Forum on Sustainable Development 2025) หรือ HLPF2025 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์กว่า ในห้วงการประชุมดังกล่าว ตนเองได้ใช้โอกาสนี้ พบหารือกับผู้แทนระดับสูงจากสหประชาชาติ และผู้แทนระดับสูงประเทศต่าง ๆ เพื่อชี้แจงพัฒนาการชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งตนเองได้ยืนยันให้ทุกประเทศ และผู้แทนระดับสูงของสหประชาชาติได้รับทราบมาโดยตลอดการปฏิบัติภารกิจว่า การปะทะกันเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ฝ่ายกัมพูชา เป็นผู้เริ่มโจมตีก่อน พร้อมแสดงความกังวล ต่อการโจมตีในสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งสะท้อนการโจมตีพื้นที่พลเรือนไทย […]

องคมนตรีมอบสิ่งของพระราชทาน ศูนย์อพยพ จ.ศรีสะเกษ

ศรีสะเกษ 26 ก.ค.- สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนศรีสะเกษ ดุเดือดกว่าทุกวัน ขณะองคมนตรีมอบสิ่งของพระราชทานแก่ประชาชนที่ศูนย์อพยพ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรีเดินทางมายังที่พักอาศัยของผู้อพยพ จ.ศรีสะเกษ มอบสิ่งของพระราชทานให้กับประชาชน พร้อมแจ้งให้ทราบถึงกระแสความห่วงใย หลังทราบข่าวประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ทรงมีความห่วงใยประชาชนและไม่ประสงค์ที่จะเห็นมีการบาดเจ็บล้มตายเพิ่มอีก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่เรียบร้อย ขอให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่อพยพไปอีกสักระยะ ขณะเดียวกัน พยาบาลจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ให้บริการตรวจดูแลสุขภาพเบื้องต้นและปฏิบัติการทางจิตรฉรีญาพร้อมมอบสิ่งของให้กับผู้อพยพหลังต้องจากบ้านมาวันนี้เป็นวันที่ 3 แล้ว ซึ่งตามหลักบางรายอาจเกิดความเครียดสะสมขึ้นได้ ปกติแล้วบริเวณศูนย์อพยพแห่งนี้ซึ่งห่างจากชายแดนประมาณ 40 กิโลเมตร จะไม่ได้ยินเสียงปืนใหญ่ แต่วันนี้แม้จะอยู่ที่ศูนย์อพยพก็สามารถได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้น ไม่น้อยกว่า 9 นัดแล้วในขณะนี้ -สำนักข่าวไทย

เชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอด “ภูมะเขือ” กองทัพยึดคืนพื้นที่เบ็ดเสร็จ

26 ก.ค.- ธงชาติไทยโบกสะบัด! ปักยอด “ภูมะเขือ” หลังทหารไทยเปิดปฏิบัติการเข้าตียึดพื้นที่คืนจากฝ่ายกัมพูชาสำเร็จช่วงเย็นวานนี้ กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่า เมื่อเวลา 09.20 น. ได้มีการเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดภูมะเขือ หลังจากที่ทหารไทยได้เปิดปฏิบัติการเข้าตียึดพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งเป็นบริเวณที่ฝ่ายทหารกัมพูชาได้วางกำลังไว้อย่างหนาแน่น และสามารถยึดพื้นที่ได้สำเร็จเมื่อช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความพยายามจากฝ่ายกัมพูชาในการเข้าตีเพื่อแย่งยึดพื้นที่คืนอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการระดมยิงปืนใหญ่และเตรียมการจัดกำลังเข้าตีตอบโต้ฝ่ายไทย -สำนักข่าวไทย

นาวิกโยธินคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด ตอบโต้ทหารกัมพูชาหนีกระเจิง

26 ก.ค.- เหตุปะทะชายแดนตราด ทหารนาวิกโยธิน ตอบโต้ทหารกัมพูชาหนีกระเจิง ถอยร่นออกจากพื้นที่อธิปไตยไทย ส่วนประชาชนอพยพไปที่ปลอดภัย เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 26 ก.ค.69 รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงจังหวัดตราด เปิดเผยว่าถึงสถานการณ์ บริเวณบ้านชำราก จ.ตราด ทหารกัมพูชา ได้วางกำลังรุกล้ำเขตแดนไทย 3 จุดเปิดฉากยิงทหารไทย เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา โดยกำลังทหารนาวิกโยธิน ได้เปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี1” จนสามารถควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด ผลักดันกำลังทหารกัมพูชา ออกนอกพื้นที่ ไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนประชาชนพื้นที่ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ได้อพยพไปพื้นที่ปลอดภัย ในอำเภอเมืองตราด ประมาณ 75 เปอร์เซนต์เมื่อวันที่ 24-25 ก.ค.68 -สำนักข่าวไทย