ทำเนียบ 19 พ.ค.- นายกฯ แพทองธาร-ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ร่วมแถลงยกระดับความสัมพันธ์สู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ พร้อมจับมือพัฒนาสาธารณสุข-ความมั่นคง-เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว ขณะที่ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพประชุมคณะกรรมาธิการการค้าร่วม ภายในปีนี้
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายปราโบโว ซูบียันโต (H.E. Mr. Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย แถลงข่าวร่วมในโอกาสที่ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit)
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ในการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งไทยและอินโดนีเซียมีมิตรภาพอันยาวนานกว่า 150 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เยือนต่างประเทศครั้งแรกที่เกาะชวาในปี พ.ศ. 2414 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยการเยือนของประธานาธิบดีอินโดนีเซียในวันนี้ เป็นการยืนยันถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้น และเป็นหมุดหมายสำคัญในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับอินโดนีเซียในปีนี้
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการหารือร่วมกันเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นมิตร ผ่านการเป็นประธานร่วมในกลไกใหม่ เรียกว่า “การประชุมหารือระดับผู้นำ” เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นกลไกที่ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอในอนาคต
โดยผู้นำทั้งสองประเทศยินดีที่จะประกาศว่า ทั้งสองประเทศได้ยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือในหลากหลายมิติในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยในฐานะประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน และมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ในภูมิภาค ไทยและอินโดนีเซียจะร่วมมือกันเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียนท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงประเด็นสำคัญจากการหารือ ว่า ด้านความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนและการหารือระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ และใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างเต็มที่ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดทำ “แผนปฏิบัติการหุ้นส่วนยุทธศาสตร์” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในปีนี้ นอกจากนี้ กองทัพของทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในทุกมิติ พร้อมศึกษาแนวทางความร่วมมือในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งตำรวจไทยและอินโดนีเซียจะเสริมสร้างความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการค้ายาเสพติด


ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยในปี 2567 การค้าระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีมูลค่าสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และด้วยขนาดของตลาดและการเชื่อมโยงที่มีอยู่ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศ แต่จะรวมถึงภูมิภาคอาเซียนโดยรวมด้วย ดังนั้น ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการการค้าร่วม (Joint Trade Committee) ครั้งที่ 1 ภายในปีนี้ เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือดังกล่าว
ทั้งนี้ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ และส่งเสริมให้ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศศึกษาความได้เปรียบและศักยภาพการลงทุน
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีอินโดนีเซียที่ให้การสนับสนุนบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียมาโดยตลอด และได้ขอให้ดูแลบริษัทเหล่านี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่นด้วย
ด้านความมั่นคงทางอาหาร เห็นพ้องที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมความร่วมมือ โดยเฉพาะการค้าสินค้าเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล และจะศึกษาความเป็นไปได้ในการเป็นหุ้นส่วนด้านการทำประมงอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสีเขียว
ด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างกรุงเทพฯ ประเทศไทย กับเมืองสุราบายาและเมืองเมดาน อินโดนีเซีย และการเปิดเส้นทางการบินระหว่างภูเก็ต-เมดานในอนาคต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต กับชวาตะวันออกและสุมาตราเหนือ และการเชื่อมโยงในภูมิภาค พร้อมทั้งหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศจะหารือเพื่อทำการตลาดร่วมในเส้นทางบินใหม่ รวมทั้งเห็นพ้องว่า ยังมีจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในทั้งสองประเทศที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ และจะร่วมกันพิจารณาต่อไป
ด้านสาธารณสุขและการศึกษา ในฐานะที่ไทยและอินโดนีเซีย เป็นสมาชิกกลุ่มนโยบายต่างประเทศและสุขภาพโลก (Foreign Policy and Global Health Group) ที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดภายใต้กรอบองค์การสหประชาชาติ ไทยพร้อมจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่ปี 2544 ในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่อินโดนีเซีย
ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงพันธกิจร่วมกันในการส่งเสริมความเป็นเอกภาพและความเป็นแกนกลางของอาเซียน ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความผันผวนในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยจะร่วมผลักดันการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจและสังคมของอาเซียนอย่างทั่วถึงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น รวมถึงเสริมสร้างเสถียรภาพในระดับภูมิภาค
ผู้นำทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันในการเห็นเมียนมาเป็นประเทศที่สงบสุข มีเสถียรภาพ และเป็นปึกแผ่น ไทยและอินโดนีเซีย ในฐานะมิตรที่ดีของเมียนมา จะร่วมมือกับมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกิดสันติภาพในเมียนมา โดยอาเซียนเป็นผู้มีบทบาทนำ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีอินโดนีเซียสำหรับมิตรภาพอันอบอุ่น และหวังว่าจะได้มีโอกาสเยือนอินโดนีเซียในอนาคตอันใกล้นี้ .-316 -สำนักข่าวไทย