ซัก 2 บริษัทออกแบบตึก สตง. ปมแก้แบบปล่องลิฟต์

รัฐสภา 14 พ.ค.- กมธ.ป.ป.ช. ซัก 2 บริษัทออกแบบตึก สตง. ปมแก้แบบปล่องลิฟต์ บ.ฟอ-รัม อาร์คิเทค ยัน ไม่เคยแก้แบบ แต่ผู้รับเหมา-ผู้ตรวจงาน ขอคำปรึกษาระหว่างการก่อสร้าง ขณะ บ.ไมนฮาร์ท ยอมรับ แนะลดความหนาผนัง 5 ซม. เพื่อ บุหินอ่อน แต่ไม่รู้ทำตามหรือไม่ มั่นใจออกแบบแข็งแรง 100% ด้าน “พิมล” ยืนยัน เซ็นรับรองแบบจริงในฐานะที่ปรึกษาผู้ออกแบบ แต่ไม่เคยเห็นแบบที่แก้


คณะกรรมาธิการการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายฉลาด ขามช่วง เป็นประธานกรรมาธิการ พิจารณาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ รวมถึงการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐในการอนุญาตในการอนุญาตควบคุมผลิตและผลิตและคุณภาพเหล็ก ในการก่อสร้างอาคารโดยได้เชิญกรมบัญชีกลางกรมสรรพากร และบริษัทผู้ออกแบบอาคาร

โดยในที่ประชุม นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะรองกรรมาธิการ ได้จี้ถาม ถึงการออกแบบและการแก้แบบ โดยเฉพาะในส่วนของปล่องลิฟท์ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกต ว่าสาเหตุของตึกถล่มอาจจะมาจากจุดดังกล่าว


นายสุชาติ ชุติปะภากร กรรมการผู้จัดการบริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด ได้ชี้แจงว่า ทางบริษัทได้ยื่นได้ยื่นประมูลผ่านการเชิญของคณะกรรมการ จึงได้ใช้เวลาเตรียมข้อมูล ประมาณ 1 เดือน พร้อมเชิญบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) มาออกแบบร่วมกัน ในฐานะวิศวกรผู้ออกแบบโครงสร้าง และหลังจากได้รับการคัดเลือก แบบได้ใช้เวลาออกแบบอาคาร ประมาณ 4 เดือน ไม่รวมระยะเวลาตรวจรับงาน ทำให้ระยะเวลาระยะเวลาทั้งหมดของการดำเนินการออกแบบ ประมาณ 11 เดือน ใช้บุคลากรกว่า 100 คน ซึ่งไม่มีการขอแก้แบบแม้แต่ครั้งเดียว แต่ ในระหว่างการก่อสร้าง มีการทำหนังสือขอคำแนะนำจากผู้รับเหมาก่อสร้าง และผู้ตรวจงาน ว่า ในส่วนของ core wall ซึ่งเป็นแกนกลาง ต้องมีการตกแต่ง โดยจะมีการบุหินอ่อน แต่ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ดำเนินการ จึงได้ทำหนังสือถึงไมนฮาร์ท เมื่อหารือกันแล้วพบว่ามีแนวทางที่สามารถลดความหนาของผนังในบางส่วน แต่ต้องมีการเพิ่มโครงสร้างบางส่วน

ในขณะที่ นายธีระ วรรธนะทรัพย์ กรรมการบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) กล่าวว่า การให้ข้อมูลว่ามีการแก้แบบถึง 9 ครั้ง น่าจะเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะเป็นการแก้ไขสัญญา ระหว่าง ผู้รับเหมาก่อสร้างกับ สตง. จำนวน 9 ครั้ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ ผู้ออกแบบ แต่เกี่ยวข้องกับการออกแบบโครงสร้าง 2 ครั้ง คือครั้งที่ 4 เรื่องปล่องลิฟท์ โดยเมื่อปี 2564 ทางบริษัทฟอ-รัม อาร์คิเทค ซึ่งเป็นสถาปนิก ได้ประสานมาว่า มีความขัดแย้ง ระหว่างแบบของการออกแบบภายใน กับแบบของสถาปัตยกรรมและโครงสร้าง เพราะเมื่อตกแต่งไปแล้ว จะทำให้ความกว้างของตัวลิฟท์ไม่ถึง 1.5 เมตร ทางเราจึงได้ให้คำแนะนำสถาปนิกไปว่า ให้ลดความหนาของผนังบางส่วน ของโครงสร้างไป 5 เซนติเมตร พร้อมปรับแก้เหล็กในโครงสร้างเพื่อให้สอดคล้อง กับการลดความหนาของผนังลิฟต์ จากนั้นไม่นาน ได้มีหนังสืออีกฉบับพร้อมแนบแบบ ที่มีการแก้ไขมาเพื่อถามว่าสอดคล้องกับสิ่งที่ให้คำแนะนำไปหรือไม่ ซึ่งขณะนั้นเป็นการเป็นการขอคำแนะนำ เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขสัญญาก่อสร้างซึ่งทางบริษัทไม่ได้มีข้อโต้แย้ง อะไร โดยที่ทางบริษัทไมนฮาร์ท ไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการตามคำแนะนำจริงหรือไม่ เพราะยังไม่มีคำสั่งว่าให้มีการแก้ไขแบบโครงสร้าง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้มีอำนาจ ในการอนุมัติให้ก่อสร้างหรือการแก้ไขแบบ มารู้ ข้อมูลอีกทีหลังเกิดเหตุติดตึกถล่มไปแล้ว พร้อมย้ำว่า บทบาทของผู้ออกแบบ เมื่อส่งมอบงาน ถือว่างานสิ้นสุดลง แต่สามารถให้คำปรึกษาระหว่างก่อสร้างได้ คนที่จะสั่งให้แก้ไขแบบได้มีแค่ สตง. ซึ่งต้องแจ้งมาอย่างเป็นทางการ คนอื่นสั่งไม่ได้

ทั้งนี้ นายจำนงค์ ไชยมงคล ในฐานะที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการ ได้สอบถามว่า หากการก่อสร้างไม่เป็นไปตามแบบจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของโครงสร้างหรือไม่ นายธีระ ได้ชี้แจงว่า เรื่องนี้ยังไม่สามารถตอบได้ แต่เรามีความมั่นใจ ว่าโครงสร้างที่เราออกแบบไป มีความแข็งแรง 100% ไม่มีปัญหา


นายฉลาด ได้ถามต่อว่า จากที่ดูคลิปตึกถล่มในฐานะวิศวกร ท่านมองว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไร เมื่อท่านมั่นใจในการออกแบบจะเป็นเพราะการก่อสร้าง หรือวัสดุการก่อสร้าง นายธีระ ยอมรับว่า มีการตั้งข้อสังเกตส่วนหนึ่ง แต่คงไม่สามารถไปกล่าวหาว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น

ด้านนายพิมล เจริญยิ่ง วิศวกรผู้ออกแบบตึก สตง. วัย 85 ปี ยืนยันว่าไม่เคยบอกว่าถูกปลอมลายเซ็น ที่ปรากฏในเอกสาร ตนเซ็นในฐานะที่ปรึกษาผู้ออกแบบ ยืนยันว่าได้ตรวจสอบแบบทุกหน้า และได้เซ็นเพียงครั้งเดียว ก่อนจะมีการส่งมอบงาน หลังจากนั้น ไม่เคยมีการส่งกลับมา ว่ามีการแก้ไขแบบแต่อย่างใด.-315- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]