รัฐสภา 4 มี.ค.-ภาคประชาสังคม-นักสิทธิมนุษยชน เปิดเวทีเสวนาประเมินสถานการณ์หลังไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีน พร้อมแถลงจุดยืนย้ำว่า รัฐบาลแก้ปัญหาชาวอุยกูร์ล่าช้า-ไม่เข้าใจหลักมนุษยธรรม และเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลอัตลักษณ์รวมถึงกระบวนการส่งกลับทั้งหมด และตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อยืนยันความโปร่งใส
เครือข่ายภาคประชาสังคม ร่วมเสวนาในประเด็นสิทธิมนุษยชนกรณีรัฐบาลส่งชาวอุยกูร์ ที่ถูกคุมขังในไทยมา 11 ปี กลับประเทศจีน ที่อาคารรัฐสภา โดยมีเครือข่ายภาคประชาสังคม นักสิทธิมนุษยชน สส.และ สว.ร่วมงานเสวนา เช่น นางอังคณา นีละไพจิต สว. และนายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โดยได้แถลงท่าทียืนยันจะทำงานในประเด็นอุยกูร์และสิทธิมนุษยชนต่อไป พร้อมชี้ว่า การที่รัฐบาลอ้างถึงการส่งกลับชาวอุยกูร์เป็นการประสานงานระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน ใช้อำนาจรัฐกับอำนาจรัฐ โดยไม่ได้สนใจคำทักท้วงของประเทศต่างๆ ทำให้ไทยขาดความเป็นกลาง
ส่วนกรณีที่รัฐบาลอ้างว่า ชาวอุยกูร์ที่ถูกกักทุกคนสมัครใจกลับประเทศจีน เป็นการพูดของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ผ่านมาภาคประชาสังคมเคลื่อนไหวให้ปล่อยตัวชาวอุยกูร์ไปประเทศที่ 3 แต่รัฐไม่ยอมปล่อยคนเหล่านี้
ทั้งนี้ภาคประชาสังคมเห็นด้วยกรณีที่รัฐกล่าวว่าการกักขังที่ยาวนานเป็นหนึ่งในรูปแบบการทรมาน แต่การแก้ปัญหาล่าช้าเกินไปทำให้ชาวอุยกูร์ต้องอยู่ในห้องกักสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมา 11 ปี นอกจากนี้ระหว่างถูกควบคุมตัว ชาวอุยกูร์ ไม่ได้รับสิทธิของผู้ต้องกักที่พึงได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติ เช่น การเข้าเยี่ยมจากสถานทูต สิทธิ์ในการติดต่อญาติ ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยไม่ได้เข้าใจหลัก มนุษยธรรม ทั้งนี้ไม่มีหลักประกันว่ารัฐบาลจีนจะดูแลชาวอุยกูร์ตามมาตรฐานสากล จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล ชี้แจงเปิดเผยข้อมูลอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์ทั้งหมด รวมถึงเปิดเผยกระบวนการส่งกลับทั้งหมด ตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ไม่เช่นนั้นจะถือว่า รัฐจงใจปกปิด ชะตากรรมของบุคคลกลุ่มนี้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะพาสื่อมวลชนไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่จีนเป็นเพียงการสร้างภาพและสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลไทย-จีน เนื่องจากไม่มีหลักประกันว่า จะได้พบผู้ที่ถูกส่งกลับโดยสมัครใจ เนื่องจากไม่มีใครทราบอัตลักษณ์ที่แท้จริงพร้อมย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป เพราะจากที่เคยให้คำสัญญากับประชาคมโลกมาตลอดว่า จะไม่ส่งกลับ แต่สุดท้ายก็ไม่ทำตามสิ่งที่ให้สัญญาไว้
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ภาคประชาสังคมและนักสิทธิมนุษยชน จึงได้ยื่นเรื่องตามมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงอัยการ ใช้อำนาจตามมาตรา 19 ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการส่งกลับชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน เพื่อหาข้อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของรัฐบาลชุดนี้ และผู้ที่ละเมิดกฎหมายต้องรับผิด
ขณะที่เวทีเสวนา ได้มีการแลกเปลี่ยน และเปิดเผยเบื้องหลังการทำงานของเครือข่ายภาคประชาสังคม ที่พยายามช่วยเหลือชาวอุยกูร์ ให้ได้รับการปล่อยตัวไปประเทศที่3 และประเมินสถานการณ์หลังการส่งกลับชาวอุยกูร์ ทั้งผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน และเชื่อมั่นของไทยในสายตาชาวโลก.-319.-สำนักข่าวไทย