หลากความเห็นเสวนา MOU44 สว.ชงทำประชามติ

พญาไท 28 ม.ค. -“สว.ชิบ” วอนอย่าเพิ่งแตกตื่นไทยเสียดินแดน เผยวุฒิสภาชงทำประชามติพร้อมกาสิโน ขณะที่ กต. ย้ำ MOU44 ไม่เสียเกาะกูด และแผนที่แนบท้ายเป็นเพียงผัง ที่ไทยไม่ได้ยอมรับ จึงต้องเดินหน้าเจรจา ด้าน “สรจักร” แนะเจรจาเส้นขีดเหนือเส้นรุ้งที่ 11 แผนที่แนบท้าย MOU44 ก่อนคุยผลประโยชน์ร่วม ย้ำจำเป็นต้องเจรจา เพราะ กม.บังคับ แต่ต้องโปร่งใส มั่นใจไม่ทำเสียดินแดน ส่วน “คำนูณ” กังวลหวั่นเดินตามรอยกรณีปราสาทพระวิหาร

งานเสวนา “OCA ไทย-กัมพูชา : ข้อเท็จจริงและทางเลือก” จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ นายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธุ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าหลังรับรับฟังการเสวนาแล้วจะนำข้อเสนอแนะไปพิจารณาเพื่อกำหนดบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศว่าจะดำเนินการอย่างไรและมีแนวทางในการเป็นการอย่างไร


นส.สรัสนันท์ อรรถนพพร ประธานคณะกรรมาการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า รัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะมาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและหนึ่งในเรื่องนั้นคือ OCA ให้ความสำคัญถึงทรัพยากรที่ยังไม่ได้ รับการพิสูจน์ว่ามีมากน้อย มหาศาลขนาดไหน และเป็นผลต่อประเทศอย่างไร ซึ่งทางกรรมาธิการได้ตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชา เพื่อสร้างสมดุล ระหว่าง สอง ประเทศ ประชาชนมองว่าพื้นที่นี้เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมการธิการ(กมธ.)การต่างประเทศ วุฒิสภา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นมหากาพย์ที่ยาวนาน เริ่มตั้งแต่รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ แต่เรื่อง MOU44 นายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนถึงวันนี้ ในส่วนของสว. มีความเห็นที่หลากหลายต่อประเด็นดังกล่าว มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยให้ยกเลิก MOU44 อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีพัฒนาการหลาย 10 ปี ดังนั้น จึงต้องพิจารณาดูข้อดีข้อเสีย หากตั้งคณะเทคนิคก็ไม่รับประกันว่าจะมีอะไรเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม รวมถึงยังเสนอทางออกว่าควรจะทำประชามติไปพร้อมกับประเด็นเอ็นเตอร์เทนเม้นคอมเพล็กซ์ดีหรือไม่ แต่ที่สำคัญอย่างเพิ่งตื่นตระหนักว่าจะเสียพื้นที่ เพราะเป็นเพียงสำรวจแหล่งพลังงาน มีคนตั้งคำถามมาด้วยว่าขุดเจาะแล้วค่าไฟจะถูกหรือไม่


นายทรงชัย ชัยปฏิยุทธ รองอธิบดีฯ รักษาการอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวถึง “กฎหมายระหว่างประเทศและการเจรจา OCA ไทย-กัมพูชา” กล่าวว่าไทยอยู่กับกฎหมายทะเลมานานแล้ว ซึ่งถ้าวัดจากทะเล 200ไมล์ทะเล แต่ถ้าชนกับเพื่อนบ้าน กฎหมายระหว่างประเทศ บอกว่าให้ไปคุยกันเพื่อทำความตกลง ดังนั้นเรื่องเขตทางทะเลเป็นเรื่องที่ต้องไปทำความตกลงกัน และในประเทศที่มีแนวคิดต่อกันใน 6ประเทศสามารถตกลงสำเร็จมาแล้ว 5 ประเทศ มาเลเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย เหลือเพียงกัมพูชา จึงเป็นที่มาว่าเราจำเป็นต้องเจรจากับกัมพูชาต่อไปบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งกัมพูชา ประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2515 และการประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยของไทยเกิดขึ้นในปี 2516 เมื่อเกิดการอ้างสิทธับซ้อนกัน ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปแสวงประโยชน์ในพื้นที่ที่ซับซ้อนกัน ซึ่งได้มีความพยายามที่จะเจรจากันมาโดยตลอด แต่ด้วยสถานการณ์ภายในของเพื่อนบ้าน จนกระทั่งปี 2544

“ยืนยันสิ่งที่กัมพูชา ประกาศไหล่ทวีป เราไม่ได้ยอมรับ และสิ่งที่เราประกาศ กัมพูชาก็ไม่ยอมรับ เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับ เราก็ต้องใช้วิธีการเจรจา และเส้นที่ปรากฏอยู่ในบันทึกความเข้าใจ2544 ก็มิได้เป็นการยอมรับไหล่ทวีปของกัมพูชา เป็นเพียงความตกลงที่ให้ไปเจรจากัน เป็นเพียงแผนผังไม่ใช่แผนที่เพื่อบรรยายขอบเขตที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน ไม่ตรงกัน ถ้าไม่มีการบรรยายหรือบันทึกเอาไว้ เราก็จะไม่ทราบ ว่าใครอ้างไว้อย่างไร ผมขอย้ำว่า เราต้องไปคุยเจรจา 2 เรื่องโดยไม่อาจแบ่งแยกกันได้ คือเรื่องเส้นละติจูด 11คือเรื่องเขตและใต้เส้นละติจูดที่ 11 คือการพัฒนาร่วม ถ้าคุยกันไม่สำเร็จก็ค่อยใช้กฎหมายระหว่างประเทศอื่น และย้ำว่าบันทึกความเข้าใจไม่มีผลกระทบกับ เกาะกูด” รักษาการอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ระบุ

ส่วนกรณีที่ไม่ได้มีการนำอยู่ข้อสภานั้นขอให้ย้อนกลับไปดูรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ได้บังคับให้นำกลับไปขอความเห็นชอบจากสภา แต่ในครั้งนี้หากมีการเจรจากันเสร็จแล้วก็จะต้องนำกลับเข้ามาให้สภาให้ความเห็นชอบ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และขอย้ำว่า การเจรจาต้องอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ของประชาชน สภาต้องให้ความเห็นชอบและเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ


ด้านดร. สรจักร เกษมสุวรรณ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) กล่าวถึง“MOU 2544 ในมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ”ว่า ในหลักการของกฎหมายทะเลกำหนดพื้นที่ไว้ในส่วนที่เป็นพื้นที่ที่เรียกว่าเป็นดินแดน ถือเป็นเขตแดนอำนาจ อธิปไตย แต่พื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) และไหล่ทวีปตาม Artide 56 และ 77 ของอนุสัญญากฎหมายทะเล 1982 (UNCLOS 1982) มิใช่เขตอำนาจอธิปใดยของรัฐชายฝั่ง มีเพียงสิทธิอธิปไตยในการสำรวจ กำหนดให้เขตเศรษฐกิจจำเพาะ ครอบกลุ่มการสำรวจและแสวง ประโยชน์ทั้งในพื้นที่ที่เป็นห้วงน้ำเหนือพื้นดินท้องทะเล ในพื้นดินใต้ผิวดิน หากเป็นรัฐที่มีชายฝั่งตรงข้ามหรือประชิดกัน จะต้องทำความตกลงบนฐานของกฎหมายของธรรมนูญศาลโลก เพื่อให้บรรลุผลอันเที่ยงธรรม ซึ่งชายฝั่งตะวันออกของไทยประชิดและตรงข้ามกับกัมพูชา จึงมีหน้าที่ทำความตกลงกัน แต่ถ้าทำความตกลงโดยยึดเส้นมัธยอ้างไหล่ทวีปนั้น จะไม่สามารถเจรจากันได้ ดังนั้นในอนุสัญญา 1982 ข้อที่ 74และ83(3) ระบุว่าในระหว่างที่ยังไม่บรรลุความตกลง ให้รัฐที่เกี่ยวข้องพยายามทุกวิถีทางด้วยเจตนารมณ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมืออันดีระหว่างกันจัดทำความตกลงชั่วคราว ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้และในช่วงเวลานั้นจะพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ทำให้เสื่อมเสียหรือขัดขวางความตกลงสุดท้าย และความตกลงชั่วคราวนี้จะไม่มีผลกระทบเสื่อมเสียต่อการกำหนดขอบเขตขั้นสุดท้าย

ทั้งนี้เห็นว่าMOU44 ทำตาม อนุสัญญาระหว่างประเทศ ถือเป็นสัญญาระหว่างไทยกับกัมพูชา หากจะยกเลิกทั้งสองประเทศจะต้องเห็นพ้องกัน และไม่ได้ทำให้สิทธิ์ของฝ่ายใด หายไปหรือมีมากขึ้น และจะนำ MOUไปขึ้นศาลโลกก็ไม่ได้

ส่วนแผนที่แนบท้าย MOU 2544นั้น ดร.สรจักร กล่าวว่าเส้นที่ขีดเหนือเส้นรุ้งที่ 11 ต้องแบ่งเขตกันให้ได้ เพราะเรายอมไม่ได้ เนื่องจากกาะกูดต้องมีทะเลในเขตของตัวเอง และกฎหมายทะเลกำหนดว่า ทุกเกาะที่มีชีวิตทางเศรษฐกิจได้ ต้องมีไหล่ทวีปของตัวเอง ดังนั้นเส้นของกัมพูชาที่ลากผ่านเกาะกูด จะต้องดันลงมาข้างล่างอีกเยอะ เรารับไม่ได้ที่จะขึ้นโด่เด่อยู่ข้างบน ซึ่งต้องดันเฉียงลงมาข้างล่างให้ได้ เพราะฉะนั้นเขตพื้นที่ เหนือเส้นรุ้งที่ 11 ต้องเจรจาให้สำเร็จ ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้ ส่วนใต้ลงมา ค่อยมาคุยกันเรื่องของพื้นที่พัฒนาร่วม(Joint Development Area: JDA) จะทำอันหนึ่งอันใดก่อนก็ไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เป็นนัยยะของ MOU 2544

ดร.สรจักร กล่าวด้วยว่าตนไม่ได้บอกว่า MOU 2544 ดีหรือไม่ดี แต่เป็นนัยยะของกฎหมาย และแม้ว่าเราจะมีMOU2544 ประเด็นสำคัญที่สุดคือคณะกรรมการที่เราจะตั้งขึ้นมา จะไปเจรจาอะไร สิ่งที่เจรจาโปร่งใสหรือไม่ มีอะไรยัดไว้ใต้โต๊ะ มีอะไรอยู่หลังกอไผ่ มีผลประโยชน์ใครเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ต้องเจรจา เพราะ กฎหมายบอกให้เราเจรจา และขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการเสียดินแดน และขออย่าพูดเรื่องการเสียดินแดน เพราะเราไม่ได้รับดินแดน เรามีสิทธิ์ในทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ดังกล่าวเท่านั้น

นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงมุมมองต่อเอ็มโอยูฯ ปี 2544 ว่า เอ็มโอยูฯ ปี 2544 มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อเสีย คือกรณีที่ไทยและกัมพูชาเกิดประเด็นขึ้นมา เริ่มต้นจากการประกาศกฤษฎีกาของกัมพูชา เมื่อปีพ.ศ.2515 ซึ่งกำหนดเส้นเขตแดนไหล่ทวีปที่มีความแตกต่างมากจากของไทยที่ประกาศเมื่อปีพ.ศ.2516 โดยไทยใช้เส้นมัธยะจากเส้นกึ่งกลางทะเล ในเมื่อแตกต่างกันมาก จึงทำให้คุยกันได้ยาก ตนเรียกว่าเส้นของกัมพูชาว่าเป็นเส้น “เถยจิต” ซึ่งคำนี้แปลว่าความคิดที่จะขโมย คิดอย่างโจรตั้งใจที่จะลักทรัพย์ ลักขโมย เพราะกัมพูชาจงใจบิดเบือนด้วยการลากเส้นเล็งห่างหลักเขตแดนจากเขาสูงสุดมายังเกาะกูด เป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลที่รุกล้ำ ผ่ากลางเกาะกูดที่เป็นอธิปไตยของไทย ละเมิดอาณาเขตทางทะเลดินแดนเกาะกูด จึงทำให้ฝ่ายที่เห็นต่าง มองว่าเส้นอ้างสิทธิ์ของกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ.2515 จึงเป็นการเต้าเรื่องและเคลมขึ้นมา จนสร้างเรื่องมหาศาล

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า ในเมื่อมีการนำเส้นที่อีกฝ่ายอ้างสิทธิ์มาเข้าเกี่ยวข้อง จึงทำให้ถูกมองได้ว่าไทยยอมรับเส้นนั้นมาเป็นฐานในการเจรจาได้ ต่างฝ่ายต่างยอมรับของการมีอยู่ของเส้นอ้างสิทธิ์ กัมพูชาอาจใช้อ้างได้ว่าเขาประสบความสำเร็จที่ทำให้ไทยยอมรับ หรือฝ่ายไทยอาจจะอ้างได้ว่าเราทำสำเร็จที่ทำให้กัมพูชายอมรับเส้นที่เราอ้าง แต่ตนขอถามว่านี่เป็นความสำเร็จทิพย์หรือสำเร็จแท้ จึงเป็นประเด็นที่ฝ่ายเห็นต่างค่อนข้างไม่เห็นด้วยต่อเอ็มโอยูฯ ปี 2544 ทั้งนี้กรณีดังกล่าวอาจถือว่ามีความคล้ายกับเอ็มโอยูระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 ซึ่งมีผลต่อกรณีปราสาทพระวิหาร โดยทำให้ฝ่ายกัมพูชาใช้อ้าง และทำให้ไทยเจ็บปวดมาแล้ว ส่วนข้อดีของเอ็มโอยูฯ ปี 2544 เป็นนวัตกรรมที่มาจากการที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ยินยอมให้มีการเสียดินแดน ทำให้ต้องมีการเจรจากันทั้งเรื่องการแบ่งเขตแดนและแบ่งปันผลประโยชน์ แต่เอ็มโอยูฯ ปี 2544 มีอายุ 24 ปีแล้ว เป็นสิ่งที่ทางกระทรวงฯหวังว่าจะสำเร็จ แต่มาถึงขณะนี่ก็ยังไม่สำเร็จ และจากนี้ไปมีหลายสิ่งที่ยิ่งทำให้ยากประสบความสำเร็จ แม้ยึดตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ด้านนายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวหัวข้อ “อนาคตความมั่นคงทางพลังงานจากอ่าวไทย” ว่า จากการสำรวจไทยพบก๊าซมากกว่าน้ำมัน ปริมาณสำรวจก๊าซในอ่าวไทยลดลงถึงขั้นวิกฤต และเชื่อว่าในพื้นที่อ้างสิทธิ์หากสำรวจจะพบปิโตรเลียมสูง อย่างไรก็ตาม ก๊าซธรรมชาติผูกพันธ์กับน้ำมันดิบ ขณะที่อ่าวไทยก๊าซธรรมชาติผูกพันกับน้ำมันเตา ซึ่งราคาถูกที่สุด ดังนั้นการนำเข้าก๊าซหากมีการผันผวนก็จะสัมพันธ์กับค่าไฟฟ้า ถ้าไม่แสวงหาแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศมีความเสี่ยงเรื่องค่าไฟ ยืนยัน MOU44เป็นกรอบที่ดี การยกเลิกจะทำให้บรรยากาศไม่ค่อยดี และไม่ได้เปลี่ยนแปลงเขตแดนประเทศ ที่สำคัญตนเป็นห่วงถ้ายกเลิกMOU44จะเข้าทางคนที่ไม่อยากแบ่งเขต แต่อยากแค่แบ่งผลประโยชน์ทางทะเลอย่างเดียว.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย