“รมช.กห.” แจงมาตรการแก้ปัญหาลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน

รัฐสภา 20 ม.ค.- “รมช.กลาโหม” แจงมาตรการแก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดน ย้ำยึดหลักปฏิบัติภายใต้หลักมนุษยธรรม บังคับใช้ กม.อย่างเคร่งครัด ยอมรับมีการสมประโยชน์ของผู้ลักลอบแรงงานกับเจ้าหน้าที่รัฐ


พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นผู้ตอบกระทู้ เรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในบริเวณพื้นที่แนวชายแดน ของนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สว.ถามนายกฯ ซึ่งนายไชยยงค์ กล่าวว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับ ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก ทั้งเมียนมา ลาว กัมพูชา และอื่นๆ ซึ่งมักจะพบในจังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและทางน้ำ เช่น จังหวัดตาก กาญจนบุรี ระนอง สระแก้ว และชายแดนด้านอื่นๆ ทำให้เกิดปัญหาผู้หลบหนี้เข้ามา แรงงานต่างด้าว แรงงานข้ามชาติ การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยผ่านประเทศไทยเพื่อเดินทางไปประเทศที่ 3 เช่น มาเลเซีย ส่งผลกระทบต่อการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติและทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะยาวสภาปัญหาดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และสำนักงงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น และยังพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งรับผิดชอบบริเวณชายแดนไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และอาจจะไม่ผลประโยชน์ทับซ้อน ส่งผลให้มีผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายมากขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย จึงอยากถามว่ารัฐบาลมีมาตรการป้องกันและแนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร

ด้านพล.อ.ณัฐพล ชี้แจงว่า ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคง ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ก่อให้เกิดความต้องการแรงงานจากภายนอกประเทศเป็นจำนวนมากประกอบกับประเทศไทยมีพรมแดนมีพรมแดนทางบกที่ติดต่อกับประเทศรอบบ้านถึง 5,671 กิโลเมตร ทำให้เกิดกระบวนการนำแรงงานผิดกฎหมายเข้าเมืองผ่านพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง บางส่วนถูกนำเข้ามาถึงพื้นที่ชั้นใน จนอาจส่งผลกระทบด้านความมั่นคง ด้านสังคม และด้านสาธารณสุข ตลอดจนภาพลักษณ์ของประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลได้ตระหนัก และกำหนดนโยบายมาตรการแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยมอบให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)และกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันจัดทำและขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการบริหารชายแดนด้านความมั่นคง พ.ศ.2556-2570 ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ตลอดจนนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2556-2570 เพื่อเป็นแนวทางให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องใช้ในการดูแลชายแดนร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคง กับการเสริมสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีหลายหน่วยงานร่วมกันรับผิดชอบ


รมช.กลาโหม กล่าวต่อว่า ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลมีนโยบายแผนและกลไกที่ชัดเจนเป็นระบบและมีเอกภาพในการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนรวมถึงมาตรการป้องกันและแนวทางการแก้ปัญหาซึ่งมาตรการป้องกัน ประกอบไปด้วยการ เชื่อมโยงข้อมูลการสัญจรข้ามแดนระหว่างหน่วยงานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่มีข้อมูลในการตรวจสอบติดตามการผ่านเข้าออก ตลอดจนตรวจจับและสกัดกั้นเคลื่อนย้ายคนและสิ่งของข้ามแดนที่ผิดกฎหมาย และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพของพื้นที่ชายแดน อาทิการใช้โดรน หุ่นยนต์ลาดตระเวน กล้องวงจรปิดแบบตรวจจับความร้อน หรือการสร้างรั้วป้องกันชายแดนในพื้นที่เสี่ยง สำหรับแนวทางแก้ไขประกอบด้วย 1.การใช้กลไกการจัดการชายแดนที่มีอยู่กับประเทศรอบบ้านเป็นเวทีในการหารือร่วมกันในการแก้ไขปัญหา โดยมีคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ซึ่งมีแม่ทัพภาค เป็นประธาน และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป มีรมว.กลาโหม เป็นประธาน 2.เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบสกัดกั้นการข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย การตั้งจุดตรวจและจุดสกัดทางบก มีการลาดตระเวนทั้งทางบกและทางน้ำโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง ที่เป็นท่าข้ามหรือช่องทางธรรมชาติ และติดตามตรวจสอบกลุ่มเป้าหมายหรือขบวนการลักลอบอย่างใกล้ชิด

พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเดินทางไปยังประเทศที่ 3 รัฐบาลมีแนวทางจัดการกับผู้หลบหนีเข้าเมือง ให้สอดคล้องกับบริบทด้านความมั่นคงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนโดยมีมาตรการและป้องกันแก้ไข คือ 1.การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างเคร่งครัด 2. แสวงหาความร่วมมือ ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ 3. บริหารจัดการของภาครัฐเช่นระบบบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวจำแนกประเภทแรงงานต่างด้าว และ4. สนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนเช่นส่งกลับประเทศต้นทาง หรือส่งไปยังถิ่นฐานประเทศที่3

“การแก้ไขปัญหาดังกล่าวรัฐบาลให้ความสำคัญกับหลักปฏิบัติมนุษยธรรมและพันธะกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งผู้หลบหนีเข้าเมืองทุกกลุ่มจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันภายใต้เงื่อนไขทางกายภาพศาสนาและวัฒนธรรมควบคู่กับกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวมถึงพันธะกรณีระหว่างประเทศ โดยคำนึงถึงหลักความมั่นคงของรัฐความปลอดภัยและหลักมนุษย์ชยธรรม รวมถึงหลักการที่ไม่ผลักดันไปสู่อันตราย” พล.อ.ณัฐพลกล่าว


รมช.กลาโหม กล่าวต่อว่า มีการแบ่งแนวทาง3 กรณี 1.เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จะดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์พ.ศ. 2551 โดยมีกลไกส่งต่อระดับชาติ 2.ลักลอบเข้าไทยให้ถือเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองปี 2522 โดยไทยมีอำนาจในการดำเนินคดีตาม แต่รัฐบาลจะดูแลตามหลักมนุษยธรรมอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับวิถีชีวิต ซึ่งเด็กผู้หญิงจะได้รับการดูแลจากบ้านพักเด็กและครอบครัว และ3.อพยพทางทะเลไปประเทศอื่นโดยมีไทยเป็นทางผ่าน เจ้าหน้าที่จะมาบังคับใช้กฎหมายภายในและคำนึงถึงมนุษยธรรมควบคู่กัน และไทยได้ดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจการกำหนดมาตรการและแนวทางการกักตัวเด็กไว้ในสถานที่กักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับอย่างเคร่งครัด และองค์การยูนิเซฟได้ทำขั้นตอนการช่วยเหลือแม่และเด็กโรฮิงญา ส่วนการแก้ไขปัญหากรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ที่มีหน้าที่ไปเกี่ยวข้องผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายบริเวณชายแดนนั้น รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

นายไชยยงค์ ถามเพิ่มเติมว่า เกี่ยวกับการกำหนดยุทธศาสตร์ของ สมช.เพื่อให้หน่วยงานนำไปปฏิบัติ เช่น ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ที่สถานการณ์ครุกรุ่นมาเป็นเวลากว่า 20 ปี แต่ รมว.กลาโหม สั่งยกร่างยุทธศาสตร์การดับไฟใต้ใหม่ ทั้งนี้เห็นว่ากว่า 20 ปีที่ผ่านมา หากยุทธศาสตร์ถูกต้อง ไฟใต้ต้องดับไปนานแล้ว เช่นเดียวกันกับยุทธศาสตร์ปัญหาความมั่นคงในชายแดน เห็นว่ายิ่งมีหน่วยงานเข้ามาบูรณาการแก้ไขปัญหาแรงงานเถื่อนมากเท่าไหร่ แต่ปัญหาการลักลอบค้ามนุษย์กลับยิ่งเพิ่มขึ้น ดังนั้นเหตุใดรัฐบาลไม่หารือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เพื่อสกัดการลักลอบเข้าเมือง เพราะในพื้นที่ภาคใต้สถานการณ์แรงแรงงานเถื่อนยังเป็นไปโดยปกติและเพิ่มมากขึ้น

“ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังรีสอร์ทในพื้นที่อำเภอแว้ง จ.นราธิวาส ที่ถูกตั้งขึ้น ไม่ได้ตั้งขึ้นเพื่อรับนักท่องเที่ยว แต่ตั้งขึ้นเพื่อจะให้แรงงานเถื่อนทั้งหมดไปนำพักก่อนที่จะเดินทางข้ามประเทศไปยังมาเลเซีย สิ่งเหล่านี้เห็นอยู่ทุกวัน แต่ไม่ได้รับการแก้ปัญหา ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้เจ้าหน้าที่รัฐมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่” นายไชยยงค์กล่าว

นายไชยยงค์ กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่าการแก้ปัญหาความมั่นคงของรัฐมาจากการบูรณาการที่ไม่เป็นจริง และล้มเหลว เพราะจากการลงพื้นที่ของกมธ.ทหารฯ วุฒิสภา ติดตามปัญหาการบุกรุกด้านจ.แม่ฮ่องสอน ของว้าแดงที่ตั้งฐานทัพในชายแดนไทย สิ่งที่เราพบ พบว่าไม่มีถนนด้านความมั่นคง หรือถนนที่จะอำนวยความสะดวกในการทำให้เจ้าที่รัฐมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาและการปกปักรักษาอธิปไตยชายแดนไทย แม้กระทั่งฐานของทหารบางฐานยังต้องใช้ม้า ล่อ ในการส่งกำลังบำรุง

รมช.กลาโหม ชี้แจงว่า การเจรจาระหว่างประเทศได้มีการดำเนินการแล้ว เกี่ยวกับแรงงานในระบบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นแรงงานนอกระบบ รัฐบาลก็พบว่าเป็นการสมประโยชน์ของผู้ประกอบการบางส่วน และผู้ลักลอบแรงงานเข้ามาในบางส่วน และกระบวนการลักลอบและเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนที่เอื้อประโยชน์ เพราะฉะนั้นทำให้รัฐบาลต้องมีการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาต่อไป ส่วนเรื่องการทำถนนในบริเวณชายแดนไปยังฐานทัพ จะพยายามดำเนินการและให้กระทบต่อพื้นที่ป่าไม้น้อยที่สุด.-319 .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]