“ชัยธวัช” เปิดเวทีผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน

รัฐสภา 3 ส.ค.-“ชัยธวัช” เปิดเวทีผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน ชี้ “ปลดล็อกวิกฤตงบประมาณ” 5 มติ ต้องคุ้มค่า-ตอบโจทย์ความท้าทายใหม่-เสริมพลังประชาชน-สร้างเสถียรภาพ-สร้างประชาธิปไตย ซัดต้องไม่ตอบโจทย์ระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง “บ้านใหญ่”

นายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวปาฐกถาพิเศษ โครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชนประจำปีงบประมาณ 2567 ในหัวข้อปลดล็อกวิกฤตงบประมาณ ว่า การปลดล็อกวิกฤตงบประมาณ ไม่อยากให้หมายถึงแค่เรื่องการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเท่านั้นแต่อยากเชิญชวนประชาชนให้คิดถึงการปลดล็อกระบบงบประมาณของประเทศที่จะยกเครื่องและปฏิรูปกันอย่างครั้งใหญ่ ซึ่งการดำเนินนโยบายสาธารณะและการผลักดันนโยบายต่างๆ ต้องคำนึงอย่างน้อย 3 เรื่องเพื่อให้ตอบโจทย์ คือ คน กฎ และ งบ


โดย คน หมายถึงหน่วยงานผู้ที่จะเข้ามาดำเนินนโยบาย ส่วนกฎ คือ กฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และงบฯ ก็คืองบประมาณที่ต้องนำมาใช้

นายชัยธวัช กล่าวว่า ฝ่ายนิติบัญญัติเกี่ยวข้องกับ 2 เรื่องคือเรื่องกฎ และงบประมาณ และถึงแม้งบประมาณจะเสนอมาจากฝ่ายบริหาร แต่ผู้ที่จะพิจารณาอนุมัติงบประมาณคือสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภาในฐานะที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้ามา ด้วยความสำคัญของงบประมาณซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทของสภาผู้แทนราษฎรโดยตรงและสถานการณ์ปัจจุบันยังอยู่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ซึ่งเป็นที่มาของการจัดเวทีในวันนี้


นายชัยธวัช ยังกล่าวว่า เวลาเราพูดถึงงบประมาณของรัฐบาลโดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจทดถอยหลายคนอาจนึกถึง ตัวG ใหญ่ นั่นคือค่าใช้จ่ายในภาครัฐ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศแต่สำหรับเวทีในวันนี้อยากจะชวนคุย ชวนคิดถึงงบประมาณของรัฐที่ไม่ใช่ตัว G ใหญ่ในสมการทางเศรษฐศาสตร์อย่างเดียวเท่านั้น แต่อยากให้คิดถึงเรื่องของงบประมาณใน 5 มิติ คือ เรื่องของความคุ้มค่า เพราะงบประมาณมาจากภาษีของประชาชน แต่การจัดสรรงบประมาณของภาครัฐที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าไม่คุ้มค่าโดยมีสาเหตุมาจากอย่างน้อย 4 เรื่องประกอบด้วยการตั้งประมาณการของโครงการที่เกินจริง และการประเมินการต้นทุนโครงการที่ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไม่มีการใช้อย่างคุ้มค่าแบบที่มีการคาดการณ์เอาไว้ก่อนดำเนินโครงการ , ภาครัฐมักจัดทำตัวชี้วัดโดยเน้นแต่ผลผลิต เช่น ตั้งโครงการอบรมสัมมนาและตั้งตัวชี้วัดว่าจะสามารถจัดได้กี่ครั้งมีคนเข้ามาร่วมกี่คนแต่ไม่สนใจตัวชี้วัดที่เป็นผลลัพธ์ ว่า คนที่เข้าอบรมจะมีศักยภาพเท่าไหร่และได้อะไรจากการผ่านการอบรม ,ความซ้ำซ้อนการดำเนินงานทั้งของรัฐบาลและหน่วยงานในกระทรวงต่างๆ

ส่วนมติที่ 2 งบประมาณจะต้องตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ๆของประเทศและต้องใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า สิ่งที่เราอยากเห็นคือ การจัดสรรงบประมาณ ระบบงบประมาณ ที่ต้องพร้อมจะรับมือกับความท้าทายใหม่ๆและสร้างโอกาสกับประเทศ ไม่ใช่การตั้งงบประมาณซ้ำแบบเดิม ตามความเคยชินแบบไม่มียุทธศาสตร์

สำหรับมิติที่ 3 คือ คือการเสริมพลังประชาชนให้กลุ่มที่ขาด ต้องใช้งบประมาณเข้าไปเสริมระบบ แต่การจัดสรร งบประมาณปี67และปี68 ไม่มีงบที่จะเข้ามาเสริมพลังประชาชนมากเท่าที่ควร ยังขาดการยกระดับเศรษฐกิจ เราจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการเสริมพลังอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งการจัดสรรงบประมาณต้องไม่คิดแทนประชาชนเองหมดทุกเรื่อง เช่น โจทก์เรื่องสวัสดิการสำหรับเด็กเล็ก สวัสดิการการเลี้ยงดูบุตร พอไปดูไส้ในแล้วกลับไม่มีงบประมาณให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้โดยเฉพาะการส่งเสริมให้คนมีบุตร รวมถึงกลุ่มแรงงานที่จะต้องมีการพัฒนาอัพสกิล-รีสกิล พบว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีอัตราการเก็บภาษีใกล้เคียงกัน


การยกระดับรายได้ของเกษตรกร พบว่ามีปัญหาจำนวนมากทั้งภัยแล้ง หนี้เยอะ ไม่มีเทคโนโลยี แต่กลับไม่เห็นงบประมาณหรือแผนการในการดำเนินการเกี่ยวกับภาคการเกษตร แม้รัฐบาลจะมีโครงการชดเชยความเสียหายไร่ละ 1,000 บาทและโครงการปุ๋ยคนละครึ่งที่ตั้งงบประมาณเอาไว้ 3 หมื่นล้านบาทเป็นโครงการที่ไม่เข้าใจปัญหาของเกษตรกรอย่างแท้จริง เป็นการตั้งโครงการภายหลังจากที่เกษตรกรไม่ต้องการในการใช้ปุ๋ยไปแล้ว ซึ่งเราเคยชินกับการใช้งบประมาณและเสพติดกับการใช้งบประมาณในการอุดหนุนโดยไม่มีการสร้างแรงจูงใจเกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร ดังนั้นงบประมาณที่เราอยากเห็นต้องตอบโจทย์ประเทศจะเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ

มิติที่ 4 คือ ระบบงบประมาณที่ดีต้องสร้างเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจด้วยการบริหารให้ มีพื้นที่ทางการคลังที่เพียงพอเพราะโลกในปัจจุบัน มีความไม่แน่นอนสูง เช่น โรคอุบัติใหม่ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งเราไม่รู้ว่าเราจะเจออะไรใหม่ๆแบบฉับพลัน ตนไม่ได้บอกว่าเราจะต้องบริหารงบประมาณแบบอนุรักษ์นิยมคือ
ไม่ใช้จ่ายเพียงแต่ ต้องมีสมดุลย์และพร้อมเสมอในการเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของโลกยุคใหม่ที่จะเกิดขึ้น และต้องเชื่อมโยงกับโลกด้วย

“งบประมาณในการสร้างประชาธิปไตยต้องไม่เป็นแบบระบบอุปถัมภ์เหมือนเดิม ปฏิเสธไม่ได้ว่างบประมาณถูกนำไปใช้ในการสร้างระบบอุปถัมภ์ค้ำชูทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการอุปถัมภ์การระหว่างรัฐมนตรีกับ สส. หรือการอุปถัมภ์การระหว่างฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำ รวมถึงการใช้งบประมาณสร้างฐานการเมืองในพื้นที่ เสริมสร้างระบบการเมืองอุปถัมภ์ที่เรามักจะพูดกันว่า ”บ้านใหญ่“ ซึ่ง สส. ฝ่ายค้านได้ทดลองนำงบประมาณของกรมโยธาธิการและผังเมืองในการพัฒนาเมืองจัดสรรว่า งบประมาณถูกไปกระจุกตัวอยู่จุดใดบ้าง ในแง่การพัฒนาตอบโจทย์ชัดเจนการอุปถัมภ์ทางการเมืองหรือไม่ ” นายชัยธวัช ระบุ

นายชัยธวัช ยังระบุว่า ไม่อยากชวนมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแต่จะให้มาร่วมกันคิดว่าเราจะจัดสรรงบประมาณอย่างไรด้วยความเชื่อว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมืองและการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงการกระจายอำนาจ การกระจายงบประมาณไปสู่ประชาชน ไปสู่ท้องถิ่น ในอนาคตเหล่านี้จะทำให้ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาตอบโจทย์ของสังคมและประชาชนมากขึ้น

จากนั้น ช่วงเช้าเป็นเวทีเสวนาความคืบหน้าและความผิดปกติของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 โดยมีนายวรภาพ วิริยะโรจน์ สส. พรรคก้าวไกล, นายวุฒิพงศ์นามบุตร สส. พรรคประชาธิปัตย์, นายฐากร ตัณฑสิทธิ สส.พรรคไทยสร้างไทย แลั ผศ.ดร.อาทิตย์ ทองอินทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ขณะที่ช่วงบ่ายจะเป็นการแบ่งกลุ่มย่อย เพื่อให้ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้มีส่วนร่วมและมีวิทยากรซึ่งเป็น สส. จากพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยกลุ่มที่หนึ่งเป็นหัวข้อการปรับกระบวนการและวิธีการงบประมาณปี 2569, กลุ่มที่สอง เป็นตัวอย่างกระบวนการงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างสรรค์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่, กลุ่มที่สามตัวอย่างกระบวนการงบประมาณเพื่อการพัฒนาทักษะฝีมือของแรงงาน, กลุ่มที่สี่ตัวอย่างกระบวนการงบประมาณในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลและการควบคุมอาชญากรรมออนไลน์.-316.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณอีสาน-ตะวันออก-ใต้ฝั่งตะวันตก

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะบริเวณ จ.จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาว เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาว และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง […]

“ภูมิธรรม” นำจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” และภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 เวลา 20.05 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางอภิญญา เวชยชัย ภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกาและคู่สมรส ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และภาคประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง เมื่อรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และภริยา ถึงบริเวณพิธีท้องสนามหลวง ขึ้นสู่เวที รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกา […]

จากแม่ถึงลูกทหารบาดเจ็บ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

ขอนแก่น 12 ส.ค. – ครอบครัวตระกูลบุญธรรมในอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ที่ลูกชายทหารเกณฑ์บาดเจ็บจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แม้สื่อสารกันน้อย แต่ความรักของแม่ลูก ไม่ได้ลดน้อยลง และพร้อมสนับสนุนลูกชายสู่เส้นทางทหารอาชีพตามความตั้งใจ หลังไปเป็นรั้วของชาติ แล้วเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ลั่นพร้อมใช้สิทธิปกป้องกำลังพล-ปรับแผนลาดตระเวน

12 ส.ค.- “แม่ทัพภาค2” ชี้เขมรแอบลอบวางทุ่นระเบิด ละเมิดเงื่อนไขหยุดยิง หวังยั่วยุ พร้อมใช้สิทธิปกป้องคุ้มครองกำลังพล เป็นเรื่องหน้างานไม่เกี่ยวเจรจา เชื่อเขมรไม่ยอมรับตามเงื่อนไขที่ไทยเสนอ เล็งใช้กล้องวงจรปิด ปรับแผนการลาดตระเวน เผยรายงานรัฐบาล-ผบ.ทบ.แล้ว จ่อประท้วงระดับสากล เมื่อวันที่ 12 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.2610 เหยียบกับระเบิดระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาซ้าย 1 นาย คือ ส.อ.ธีรพล เพียขันที ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว ซึ่งเหตุเกิดในจุดแนววางรั้วลวดหนามทางด้านทิศตะวันตก ถ้าหันหน้าเข้าเขมรจะอยู่ฝั่งขวาของตัวปราสาท และห่างจากตัวปราสาทประมาณ 1 กิโลเมตร เรียกว่าช่องจุ๊บตาโมก สันนิษฐานว่าเขมรลักลอบมาวางระกับเบิดช่วงที่ถอนกำลังทหารออกไป ซึ่งวันนี้ทหารไปตรวจสอบแนววางลวดหนาม บริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย เป็นเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนประจำอยู่ในฝั่งไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการยั่วยุ ผิดเงื่อนไขการหยุดยิง เพราะการวางทุ่นระเบิด ถือเป็นการยิงเหมือนกัน เราจะมีมาตรการตอบโต้ และรายงานให้รัฐบาลรับทราบตามขั้นตอนแล้ว หลังจากนี้จะนำไปสู่ขั้นตอนการประท้วงในระดับสากล พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ […]