หวั่นหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาจากการเมืองอาจถูกครอบงำ

โรงแรมทีเค พาเลซฯ 2 ก.ค.- เวทีเสวนาการสรรหาและคุณสมบัติ ป.ป.ช. ชี้ปัญหาตั้งสเปคไร้คน ลงสมัคร งานหนัก-เงินน้อย ต้องต่อสู้กับอิทธิพล-ถูกวิจารณ์ หวั่นหากมีที่มาจากการเมืองจะถูกครอบงำ


คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดโครงการเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการสรรหาและคุณสมบัติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มีนายกล้าณรงค์ จันทิก ประธานคณะกรรมาธิการ กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาและอดีต ป.ป.ช. นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายมานิตย์ จุมปา และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมแลกเปลี่ยน เสนอความเห็นเกี่ยวกับ คุณสมบัติผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นกรรมการสรรหา และ กรรมการป.ป.ช. โดยมีการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 2550 และ 2560 มาเทียบเคียง ให้เห็นถึงปัญหา

นายกล้านรงค์ กล่าวว่าผู้ที่เป็นอธิบดีหรือเทียบเท่าที่อยากมาเป็น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีจำนวนมาก แต่ไม่อยากมาเป็น เพราะค่าตอบแทนน้อย แต่ทำงาน และความรับผิดชอบค่อนข้างหนัก อีกทั้งคนที่ทำงานในองค์กรอิสระจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ประวัติในอดีต จึงต้องคิดว่าทำอย่างไรให้มีคนสนใจเข้ามาสมัครดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และหากลดมาตรฐานตำแหน่งลงไปจะมีปัญหา เพราะป.ป.ช. ดำเนินการเสร็จไปอัยการสูงสุด จากแยการสูงสุด ไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ดังนั้นคุณสมบัติเป็นกรรมการป.ป.ช. ได้นอกจากการสุจริตเที่ยงธรรม ต้องมีความกล้าหาญ ส่วนเกณฑ์อายุงาน 5 ปี มองว่าค่อนข้างเป็นปัญหา ควรปรับให้มีความเหมาะสมมากกว่านี้


นายสมคิด กล่าวว่า มีการกำหนด คุณสมบัติ ของผู้ที่จะมาเป็นป.ป.ช. ต้องจบการศึกษาอะไร แต่อาจไม่มีความเชี่ยวชาญ ส่วนคุณสมบัติเฉพาะที่กำหนดไว้ ในมาตรา 232 เช่นต้องเป็นผู้พิพากษาอัยการระดับอธิบดี 5 ปี และกำหนดอายุระหว่าง 45 ถึง 70 ปีเพราะผู้พิพากษาก็ทำงานถึง 70 ปีอยู่แล้ว ไม่ได้ถูกใครฟ้องด้วย และได้รับความปลอดภัยในเรื่องต่างๆ ซึ่งทำให้หาคนได้น้อย แต่พอคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดว่าต้องอายุ 70 ปีก็ไม่มีใครอยากมาสมัคร เมื่อเทียบกับศาลรัฐธรรมนูญที่ขยายเกณฑ์อายุออกไปเป็น 75 ปี เพราะหากไม่ขยาย ทางศาลรัฐธรรมนูญรู้ดีว่า จะไม่มีใครมาสมัคร จึงมองว่า หาก ป.ป.ช. ขยายเกณฑ์อายุ อาจมีคนอยากมาสมัครมากขึ้น ซึ่งช่วงหลังมาพบว่า ผู้ที่เป็น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็เป็นคนของ ป.ป.ช. เอง ส่วนตัวมองว่า ไม่ได้ดีมาก เพราะไม่มีความหลากหลาย ทั้งยังเห็นว่าคุณสมบัติแบบนี้ จะได้คนมาให้เราเลือกน้อย เพราะงานหนัก เงินน้อยและต้องต่อสู้กับอิทธิพลต่างๆ พร้อมกับถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีทางเลือกน้อยลง และอยากให้กระบวนการสรรหาบุคคลเป็น ป.ป.ช. ต้องเอาคนดีมาเลือกคนดี มาทำหน้าที่

นายสมคิด กล่าวว่า ป.ป.ช.มีหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองสส. สว. หากคนเหล่านี้ตั้งมาจะกล้าไปตรวจสอบหรือไม่ และหากใครมีเสียงข้างมากในสภาคนนั้นก็สามารถตั้งองค์กรอิสระได้หรือไม่ พร้อมระบุปัจจุบันศาลยุติธรรมได้รับการยอมรับ มากที่สุดในบรรดา 3 ศาล คือ ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญที่2ศาลหลังได้รับการยอมรับน้อยมากทั้งที่ได้รับมีจุดยึดโยงกับจากประชาชน พร้อมยอมรับว่าหาทางออกที่ดีที่สุดให้ประเทศไทยไม่ได้

นายสมคิดไม่เห็นด้วย กับการใช้ระบบการเมืองแท้ๆ กับองค์กรอิสระ เพราะหากเมื่อใดที่วางให้องค์กรอิสระมาจากการเมือง เชื่อว่าองค์กรอิสระจะถูกครอบงำไม่สามารถทำงานได้เต็มที่
“ในโลกนี้ประเทศส่วนใหญ่มีสภาเดียว เราถกเถียงจะมีกี่สภา ส่วนตัวขอถามว่าวุฒิสภา มีประโยชน์อะไร ไม่มีการกำหนดคุณสมบัติการศึกษา สว. แต่มี สว. เพื่อถ่วงรั้ง สส. ถ้ามี สว. อย่างน้อยเหนี่ยวรั้งสส. ไว้ และไม่ให้ประเทศสวิงไปตามการเมือง ผมโชคดีไม่ต้องไปร่างรัฐธรรมนูญอีก ทุกครั้งเถียงกันเรื่องจะมีสว. หรือไม่ฝากให้คนที่ต้องไปแก้ไขทำยังไงให้ป.ป.ช. ดีที่สุดให้การทุจริตน้อยที่สุด”นายสมคิดกล่าว


นายมานิตย์ คาดว่าการกำหนดคุณสมบัติต้องมีอายุงาน 5 ปีเพราะต้องการได้คนรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ แต่คนที่ครบหลักเกณฑ์นี้ มีน้อย หวังว่าระบบการคัดป.ป.ช.มีกรรมการสรรหาที่น่าไว้วางใจ ต้องขยายวงของผู้ที่จะเข้าข่ายมีคุณสมบัติ ให้กว้างขึ้น ปรับ คุณสมบัติอายุงาน จาก 5 ปีมา 3 หรือ 2 ปีซึ่งจะเป็น การแก้อย่างง่ายในระยะสั้นแต่ระยะยาว ต้องคิดว่าจะกลับไปใช้ระบบเดิมเช่น ให้ ที่ประชุม อธิการบดี เลือกกันเองแล้ว ส่งตัวแทนเข้ามาเป็นกรรมการสรรหา

นายมานิตย์ กล่าวว่าการควานหาคนมีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นข้อจำกัดที่สำคัญ ดังนั้นถ้าปลดล็อคให้ผู้มีคุณสมบัติมากขึ้นมาสมัครมากขึ้นจะได้อะไรที่ครบเครื่องกับการทำหน้าที่ป.ป.ช. ทั้งนี้อยากเห็น ผู้ที่มีประสบการณ์ภาคเอกชน ที่ไม่มีประวัติมัวหมอง ไม่ทำการทุจริต แต่รู้ข้อมูล ช่องทางการทุจริต ใช้ Connection ในทางบวกเปิดกว้าง ปลดล็อกให้คนเหล่านี้ เข้ามาทำหน้าที่ป.ป.ช. เพื่อหามาตรการป้องกันปราบปรามการทุจริต

“องค์กรอิสระยังมีความจำเป็นต่อประเทศไทยแต่สิ่งสำคัญคือการรักษาให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอิสระ องค์กรป.ป.ช.เป็นที่หมายปองนัมเบอร์วัน เพราะถ้าต้องการหลุดรอดการตรวจสอบ ต้องเข้ามายึดป.ป.ช. แต่การจะมายึดป.ป.ช.ต้องยึดสว. ให้ได้เสียก่อน ดังนั้นต่อให้วางกระบวนการสรรหาอย่างไร หากจบที่สว. และสว.ไม่มีหลักประกันอิสระ ก็ทำให้ท้าทายว่าป.ป.ช.ก็จะไม่อิสระ บางคนบอกว่าถ้าคิดไม่ออกบอกไม่ถูกให้เลือกตั้งป.ป.ช.ไปเสียเลย แต่เมืองไทยก็มีปัญหา เพราะไม่ได้เลือกคนดีเป็นการเลือกผู้แทน ทางทฤษฎีเป็นดรื่องที่ดีการเลือกตั้งยึดโยงประชาชน จุดเชื่อมโยงมาสู่สว. ไม่ได้รับความเชื่อถือ สว. ที่จะกำลังเข้ารับตำแหน่งมีหลักประกันที่มั่นคงว่าเป็นอิสระ กระบวนการสรรหาป.ป.ช.ก็จะอิสระ หรือวันข้างหน้า หากเราตัดสินใจจะไม่มีสว.จะมีเพียงสส. จะมีหลักประกันอะไรที่จะทำให้ป.ป.ช.มีอิสระ”นายมานิตย์ กล่าว

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ประสิทธิภาพและความไว้วางใจที่ป.ป.ช. มีต่อประชาชนส่งผลต่อการพิจารณาคดีสำคัญ มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง และระดมความเห็นจากภาพส่วนต่างๆนำมาสู่การแก้ไข ทั้งนี้เห็นว่าจากเรื่องคุณสมบัติไปถึงการเสนอชื่อการสรรหาและการรับรอง มีอยู่ 3 หลัก ที่อยากเห็นป.ป.ช.กว้างขึ้น ให้มีการแข่งขัน ให้คนมาสมัครที่มีความเชี่ยวชาญ หลากหลาย รวมถึงอยากเห็นป.ป.ช. มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น และอยากให้ป.ป.ช.เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายมากขึ้น

นายพริษฐ์ ชี้ช่อง ว่า มีหลักสูตรต่างๆที่ทำให้มีโอกาส เข้าถึงตัวกรรมการสรรหาได้ จึงต้องสร้างกลไกป้องกันระบบอุปถัมภ์ขณะที่ มองว่า สว.ชุดใหม่ห่างเหินจากการเลือกตั้งเพราะให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเองจาก 20 กลุ่มอาชีพ และการที่ไม่ได้รับรองจากองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งจะขาดความยึดโยงจากประชาชนพร้อมเสนอแนวคิด ที่พบจากประเทศญี่ปุ่น ให้ประชาชน รับรอง ผู้ได้รับการสรรหา เข้ามาเป็น ป.ป.ช.โดย กำหนดเกณฑ์ว่าจำนวนเท่าใดถึงจะผ่านเกณฑ์

นาย พริษฐ์ เสนอ แนวคิดการแก้ไขกำหนดคุณสมบัติ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องแตกต่างองค์กรอิสระอื่นๆ และตั้งคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเฉพาะทาง หรือผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ทั้งนี้เห็นว่าต้องออกแบบระบบเลือกตั้งสว.ให้แตกต่างจากสส. เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งสว. จะเป็นการเชื่อมโยงจากประชาชนตรงที่สุด และสิ่งสำคัญคือจำเป็นต้องมีวุฒิสภาหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นการออกแบบที่ไม่ง่ายต้องคู่ขนานกับสถาบันการเมืองอื่นๆด้วย

” เราต้องการให้ป.ป.ช.ตรวจสอบทุจริตเข้มข้นที่สุดในสังคม แต่มีมุมมองเรื่อง มาตรฐานทาง จริยธรรม ต่างกัน การให้องค์กรใดมาผูกขาดคำนิยามเรื่องจริยธรรมและมีผลทางกฎหมายอาจเป็นความท้าทาย พยายามแก้ไขและสร้างวัฒนธรรมให้ผู้มีอำนาจแสดงความรับผิดชอบทางกลไกทางการเมืองน่าจะยั่งยืนและมีช่องโหว่น้อยกว่าที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันและกัน มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่ากระบวนการแต่งตั้งรับรองจะไปจบที่ไหน ถ้าเราจะแก้กระบวนการสรรหาหรือที่มาขององค์กรอิสระแยกจากการออกแบบสถาบันทางการเมืองทั้งหมด” นายพริษฐ์ กล่าว

พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า เห็นด้วยในหลายประเด็น จากประสบการณ์ที่ทำงานมา 8 ปีกว่า เห็นว่าการกำหนดคุณสมบัตินั้นทำไว้ดีแล้ว ที่จะต้องมีคุณสมบัติที่ชัดเจน อย่าง การบริหารราชการแผ่นดิน การบัญชี เศรษฐศาสตร์ ฯ ซึ่งปัจจุบัน ผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการป.ป.ช จะต้องเกี่ยวกับเรื่องคดีที่มีความต่อเนื่องถึง 9 ปี ปัจจุบันเราไม่มีสัดส่วนของอัยการ มีตุลาการเพียง 4 ท่าน และตำรวจก็กำลังหมดวาระลง และคาดว่าจะไม่มีเข้ามาอีก เพราะ 5 ปี เป็นเรื่องที่ยากมากจะมีตำแหน่งอธิบดีเข้ามา ทั้งนี้ตนเห็นด้วยในเรื่องคณะกรรมการสรรหาที่จะลดระดับลงมา เพราะการนำตัวแทนขององค์กรอิสระ ไปเป็นกรรมการสรรหาในองค์กรอิสระ จะมีปัญหามากกว่าจะให้คนในองค์กรอิสระนั้นเข้าไป ตามที่วงเสวนาได้เสนอ เพราะกระบวนการสรรหาวันนี้มีผู้ที่สมัครเข้ามาเป็นคณะกรรมการป.ป.ช. ไม่น้อยในแต่ละรอบ และหากลดคุณสมบัติลงมา ก็จะมีผู้สมัครมากขึ้น และจะช่วยหากมีการแบ่งแยกสายที่ชัดเจน ดังนั้นจึงขอให้ดูที่มาตรา 13 วรรค 3 ที่ระบุว่า “วิธีการอื่นใดที่เหมาะสม” เช่นการ “ให้คะเเนน” ยกตัวอย่างมีผู้สมัคร 100 ท่าน มีตำแหน่งว่างแค่ 1-5 ตำแหน่ง จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ผู้สมัครที่เหลือสูญเปล่า ดังนั้นจึงเสนอเเนะให้มีการ ให้คะเเนนจากประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถจากคุณวุฒิ เพื่อคัดเลือกตามสัดส่วนของกรรมการที่ว่างลง และให้กรรมการสรรหาเป็นผู้สรรหา เพื่อไม่ให้สูญเปล่า ซึ่งคนที่ผ่านเข้ามาทุกคนควรที่จะมีคะแนนอยู่ เมื่อกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว คนที่ได้อันดับ 1 คือผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ และผู้ที่ได้คะแนนรองลงมาเป็นตัวสำรอง เพื่อลดขั้นตอน หากผู้ที่ได้คะแนนอันดับ 1 ไม่ผ่านการคัดเลือก ก็นำผู้ที่ได้คะเเนนรองลงมาคัดเลือก เเต่ปัจจุบันหากผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งไม่ผ่าน ก็จะสูญเปล่าทั้ง 100 คน ถือว่า “เป็นการสูญเปล่าในการบริหารงานบุคคล” เห็นด้วยในแก้ไขกระบวนการคัดเลือกคณะกรรมการสรรหา เพื่อออกเป็นอนุบัญญัติให้ชัดเจนโปร่งใส .-319 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอด “ภูมะเขือ” กองทัพยึดคืนพื้นที่เบ็ดเสร็จ

26 ก.ค.- ธงชาติไทยโบกสะบัด! ปักยอด “ภูมะเขือ” หลังทหารไทยเปิดปฏิบัติการเข้าตียึดพื้นที่คืนจากฝ่ายกัมพูชาสำเร็จช่วงเย็นวานนี้ กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่า เมื่อเวลา 09.20 น. ได้มีการเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดภูมะเขือ หลังจากที่ทหารไทยได้เปิดปฏิบัติการเข้าตียึดพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งเป็นบริเวณที่ฝ่ายทหารกัมพูชาได้วางกำลังไว้อย่างหนาแน่น และสามารถยึดพื้นที่ได้สำเร็จเมื่อช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความพยายามจากฝ่ายกัมพูชาในการเข้าตีเพื่อแย่งยึดพื้นที่คืนอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการระดมยิงปืนใหญ่และเตรียมการจัดกำลังเข้าตีตอบโต้ฝ่ายไทย -สำนักข่าวไทย

นาวิกโยธินคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด ตอบโต้ทหารกัมพูชาหนีกระเจิง

26 ก.ค.- เหตุปะทะชายแดนตราด ทหารนาวิกโยธิน ตอบโต้ทหารกัมพูชาหนีกระเจิง ถอยร่นออกจากพื้นที่อธิปไตยไทย ส่วนประชาชนอพยพไปที่ปลอดภัย เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 26 ก.ค.69 รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงจังหวัดตราด เปิดเผยว่าถึงสถานการณ์ บริเวณบ้านชำราก จ.ตราด ทหารกัมพูชา ได้วางกำลังรุกล้ำเขตแดนไทย 3 จุดเปิดฉากยิงทหารไทย เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา โดยกำลังทหารนาวิกโยธิน ได้เปิดยุทธการ “ตราดพิฆาตไพรี1” จนสามารถควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด ผลักดันกำลังทหารกัมพูชา ออกนอกพื้นที่ ไม่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนประชาชนพื้นที่ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ได้อพยพไปพื้นที่ปลอดภัย ในอำเภอเมืองตราด ประมาณ 75 เปอร์เซนต์เมื่อวันที่ 24-25 ก.ค.68 -สำนักข่าวไทย

กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง

กทม. 26 ก.ค.- กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง เตือน 7 จังหวัดรับมือ อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อน “ก๋อมัย” บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวโน้มเคลื่อนตัวไปทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย.- สำนักข่าวไทย

9 ทันโลก : แจงด่วน! คณะมนตรีความมั่นคง ไทยนี้รักสงบ

25 ก.ค. – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามที่กัมพูชาร้องขอไว้ รายงาน 9 ทันโลก พาไปติดตามบทบาทและโอกาสของไทยบนเวทีสำคัญนี้ ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาตินานเกือบ 80 ปี จะได้แสดงบทบาทอีกครั้งในคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการสื่อสารกับประชาคมโลก ถึงการกระทำของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายด้าน รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติที่ไทยยึดมั่น ในห้องประชุมนี้ ไทยในฐานะสมาชิกสหประชาชาติ ลำดับที่ 55 จะทำหน้าที่อีกครั้งในภารกิจด้านสันติภาพ ตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิกเมื่อปี 2489 ที่นี่ไทยเคยทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะมนตรีความมั่นคง โดยพลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา และหม่อมหลวง พีระพงศ์ เกษมศรี ทำหน้าที่สองวาระ ในปี 2528 และ 2529 ในเวลาที่สงครามเย็นคุกรุ่น มาในวันนี้ไทยกำลังจะมีโอกาสอันดีที่ได้ใช้ช่องทางการทูตสำคัญ เสาหลักความมั่นคงของสหประชาชาติ ในอีกบทบาทหนึ่งที่ยังคงอยู่บนพื้นฐานการแสวงหาสันติภาพตามกลไกนี้ เมื่อประเทศสมาชิก ในกรณีนี้คือกัมพูชา ร้องขอให้เปิดประชุมเร่งด่วน สมาชิกคณะมนตรีซึ่งมีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ และสมาชิกไม่ถาวร 10 ประเทศ พิจารณากรณีที่เป็นภัยคุกคามใดต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เช่น กรณีการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา […]