ทำเนียบ 26 มิ.ย.- นายกฯ หารือเต็มคณะร่วมกับนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรภูฏาน ผลักดันความร่วมมือหลากหลายมิติ โดยเฉพาะด้านทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและภริยา ให้การต้อนรับ นายดาโช เชริง โตบเกย์ ( Dasho Tshering Tobgay) นายกรัฐมนตรีภูฏานและภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้นำนายกรัฐมนตรีภูฏาน ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ซึ่งครั้งนี้ได้ย้ายมาจัดที่บริเวณห้องโถงตึกไทยคู่ฟ้า เนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้พิธีต้อนรับและสวนสนามที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ไม่สามารถดำเนินการได้ จากนั้นนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีภูฏานพร้อมภริยา ถ่ายภาพร่วมกัน ณ บันไดโถงกลาง ตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึก ณ ห้องสีงาช้าง (ด้านนอก)
จากนั้นนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีภูฏาน หารือแบบ Four eyes ก่อนที่เวลา 11.00 น.นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีภูฏาน หารือเต็มคณะ ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีภูฏานที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอีกครั้ง โดยเชื่อมั่นว่าด้วยมิตรภาพที่แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ จะสามารถกระชับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่มีศักยภาพร่วมกันเพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness: GNH) ของภูฏานที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของไทย ซึ่งไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ส่งเสริมความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีภูฏาน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในประเทศไทย โดยการเยือนครั้งนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของไทย – ภูฏาน ชื่นชมไทยที่ถือเป็นประเทศผู้นำของอาเซียนและภูมิภาค โดยทั้งสองประเทศต่างมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างใกล้ชิด พร้อมขอบคุณและซาบซึ้งในการทำงานของรัฐบาลไทยและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผ่านความร่วมมือในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยไม่ใช่เพียงแค่ผู้ลงทุน แต่ยังเป็นผู้ให้ อีกทั้งเป็นตัวอย่างของการพัฒนาประเทศที่ภูฏานได้นำไปปรับใช้เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยภูฏานพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยให้มากขึ้นในอนาคต
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็น ด้านการค้าการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยินดีกับการประกาศเริ่มเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น ตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าที่ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเห็นพ้องที่จะผลักดันการสรุปผลเจรจา FTA ภายในปี 2025 ขณะที่นายกรัฐมนตรีภูฏานกล่าวว่า ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของภูฏาน จึงเห็นถึงโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยสามารถร่วมมือจัดตั้งธุรกิจผ่าน FDI และกิจการร่วมค้าในภูฏาน และขยายช่องทางการค้าไปยังอินเดียได้
ด้านโอกาสการลงทุนในโครงการเมืองอัจฉริยะ Gelephu Mindfulness City (GMC) นายกรัฐมนตรีภูฏานนำเสนอถึงศักยภาพของโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของภูฏาน ติดกับประเทศอินเดีย โดยมีแผนการก่อสร้างโครงการใหญ่ อาทิ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศแห่งใหม่ เส้นทางคมนาคม และจะเป็นเมืองอัจฉริยะแห่งแรกของภูฏาน โดยไทยพร้อมที่จะสำรวจโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนสำหรับภาคเอกชนไทยที่สนใจ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การค้าปลีก การดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีการเกษตร โดยปัจจุบันมีบริษัทไทยบางส่วนเข้าร่วมลงทุนในโครงการ GMC แล้ว และยังให้ความสนใจที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองแบบองค์รวม (Urban development) ภายในพื้นที่โครงการ GMC ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า โครงการนี้จะทำให้ภูฏานเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่มีเครือข่ายของระบบนิเวศที่ยั่งยืนได้
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่ส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ของภูฏานเข้าสู่ตลาดในไทย โดยไทยยินดีที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีด้านการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การเกษตรอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มมูลค่าและยกระดับผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ภูฏาน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีภูฏานได้กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Gewog One Product – OGOP) ของภูฏาน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากผลิตภัณฑ์ OTOP ของไทย ขณะที่นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ผลิตภัณฑ์ OGOP จะช่วยสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่นเช่นเดียวกับไทย และยินดีช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์ OGOP ในตลาดไทยมากขึ้น
ทั้งสองฝ่ายพร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระดับประชาชน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ และการท่องเที่ยวโดยชุมชน
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาล คือ การมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2050 และการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี 2065 ซึ่งภูฏานมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและส่งออกพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนายกรัฐมนตรีภูฏานยินดีที่จะแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ด้านการศึกษา ทั้งสองฝ่ายหารือถึงแนวทางการจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาร่วมกัน โดยนายกรัฐมนตรีภูฏานขอบคุณสำหรับการสนับสนุนทั้งด้านการให้ทุนการศึกษา ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย ตลอดจนการจัดฝึกอบรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริการสาธารณะ ซึ่งไทยถือเป็นอีกจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาของนักศึกษาภูฏาน โดยไทยพร้อมให้การสนับสนุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งแนวทางในการจัดทำวีซ่าสำหรับนักศึกษาที่จะอยู่และทำงานในไทยภายหลังสำเร็จการศึกษา เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ให้แก่นักศึกษา
ด้านสาธารณสุข ทั้งสองฝ่ายพร้อมสานต่อความร่วมมือด้านการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาด้านการผ่าตัดปลูกถ่ายไตให้แก่โรงพยาบาล Jigme Dorji Wangchuck National Referral Hospital (JDWNRH) เมื่อปี 2566 ซึ่งถือเป็นการผ่าตัดปลูกถ่ายไตครั้งแรกในภูฏาน และโครงการพัฒนาบริการทางการแพทย์เพื่อการรักษาหู จมูก และคอ ซึ่งไทยได้มีการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมทั้งไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับภูฏานในการสร้างขีดความสามารถให้กับบุคลากรทางการแพทย์ชาวภูฏาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีภูฏานแสดงความยินดีและขอบคุณสำหรับความร่วมมือดังกล่าว.-315 -สำนักข่าวไทย