รัฐสภา 18 มิ.ย.-“พิธา” หวังคดียุบก้าวไกล มีโอกาสได้ไต่สวนสืบพยาน คาดคงไม่ใช้มาตรฐานเดียวกับคดีที่ 3/2567 หลังศาลมีคำสั่งให้นำคำวินิจฉัยมาใช้ด้วย มั่นใจ 9 ข้อต่อสู้ที่เคยแถลงไม่ละเมิดอำนาจศาล เชื่อศาลเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายอย่างยุติธรรม
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดพิจารณาคดีล้มล้างการปกครองของพรรคก้าวไกลครั้งต่อไปในวันที่ 3 ก.ค. และมีกำหนดให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ว่า มีประมาณ 3-4 ข้อที่เกี่ยวข้องกับทางพรรคก้าวไกล ที่จะมีการประชุมต่อในวันที่ 3 กรกฎาคมและในวันที่ 9 กรกฎาคม ตรวจสอบพยานของแต่ละฝ่าย ซึ่งไม่แน่ใจว่าเมื่อมีการตรวจสอบพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายแล้ว จะให้มีการสืบพยานหรือไม่ เพราะเข้าใจว่าทางผู้ร้องและพรรคก้าวไกลมีพยานที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย และระบอบประชาธิปไตย เยอะพอสมควร หากมีโอกาสได้ตรวจสอบพยานก็จะมีโอกาสได้ไต่สวนหรือสืบพยาน ก็อาจจะได้อธิบายเหตุผลและสิ่งที่พวกเราพยายามจะทำ
ส่วนความไม่เชื่อมโยงกันระหว่างคดี ที่3/2567 ที่ผ่านมา และที่ศาลบอกให้เอาข้อไต่สวน ของคดีที่ 3/2567 มาใช้ด้วย นั้นไม่ได้หมายความว่าจะใช้มาตรฐาน การตรวจสอบข้อเท็จจริงตามกันเพราะมาตรา49 กับมาตรา 92 และ มาตรา93 ก็คนละมาตราและคนละกฎหมายกัน
สำหรับพยานหลักฐานที่ยื่นไปยังศาลมีความมั่นใจมากน้อยแค่ไหน นั้น นายพิธากล่าวว่า มั่นใจใน 9 ข้อต่อสู้ รวมถึงประเด็นเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของ คำร้องของกกต.ที่ไม่เหมือนกับตอนเสนอยุบพรรคอนาคตใหม่ และ พรรคไทยรักษาชาติ เพราะเรื่องเกี่ยวกับระบอบหลักเกณฑ์ การรวบรวมข้อเท็จจริงของมาตรา 93 เพื่อมาใช้ ฟ้องมาตรา 92 เพิ่งผ่าน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2566 ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีระเบียบนี้มาก่อน แต่พึ่งมีระเบียบนี้เกิดขึ้น จึงคิดว่าสู้ในทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหาได้ ดังนั้นถูกกล่าวหามากี่ประเด็นเราก็มี 9 ข้อนี้ ในการค้านได้ในทุกประเด็นจึงมั่นใจ
คิดว่าเป็นไปตามกระบวนการและคิดว่าศาลน่าจะเห็นถึงหลักของกระบวนการยุติธรรมที่อนุญาตให้มีโอกาสยืนหลักฐานได้ชัดเจน มีกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งหมดอยู่ในดุลยพินิจของศาลตนก้าวล่วงไม่ได้แต่ก็ไม่กังวล
ส่วนกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นร้องนายพิธาเรื่องข้อต่อสู้ 9 ข้อละเมิดอำนาจศาลหรือไม่นั้น นายพิธากล่าวว่าไม่กังวล และถ้าจำได้ตอนที่แถลงก็จะเห็นว่าเปิดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะสอดคล้องกับที่ศาล กังวลว่าอย่าเอาความคิดเห็นมาชี้แนะต่อสังคมได้ ตนจึงระมัดระวังในทุกคำตอบ จึงมั่นใจในส่วนของตัวเอง ไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจของศาลแต่อย่างใด
ตนคิดว่าศาลคงจะเปิดโอกาส ให้ทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรมซึ่งตนไม่สามารถก้าวล่วงในส่วนของกกต.ได้ ทราบว่ามีพยานบุคคลกี่คนแต่คงเปิดเผยไม่ได้ เพราะตนคิดว่าเกินเส้นแล้วคงไม่ยุ่ง แต่สำหรับในส่วนของตนก็มีพยานเยอะพอสมควรไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้ และขอสงวนเอาไว้ก่อน และเชื่อว่าศาลจะให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย.-312.-สำนักข่าวไทย