“สว.วรพงษ์” ค้านหัวชนฝา “สมรสเท่าเทียม” ชี้กดเพศ “ชายหญิง”

รัฐสภา 18 มิ.ย.-“สว.วรพงษ์” ค้านหัวชนฝา แสดงจุดยืนต้าน “สมรสเท่าเทียม” ขอเปลี่ยนนิยามกลับมาเป็น “ชายหญิง” แทน “บุคคล” แทบทุกมาตรา อ้างจะสะเทือนสถาบันครอบครัว ถามเพื่อน สว.ไม่เอะใจบ้างหรือ ซัดจะเป็นการ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” ครอบครัว มองแก้กฎหมายแบบนี้ เป็นการกดเพศ “ชายหญิง” ลงไปอยู่กับกลุ่ม LGBTQ

การประชุมวุฒิสภา สมัยวิสามัญ ที่มีพลเอกสิงห์ศึก สิงไพร รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (สมรสเท่าเทียม) ซึ่งผ่านการพิจารณาในชั้น สส. และคณะกรรมาธิการวิสามัญ วุฒิสภาพิจารณาเสร็จแล้ว จำนวน 69 มาตรา


นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ในฐานะประธานกรรมาธิการ รายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการ ว่า ได้ศึกษา เปรียบเทียบร่างกฎหมายอย่างรอบคอบ ได้ตั้งประเด็นข้อสังเกตในชั้นกรรมาธิการ ได้พิจารณาดูรายชื่อกฎหมาย สิทธิ หน้าที่ของคำว่าสามีภรรยา นอกจากนี้ยังได้พิจารณาร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยร่างฉบับนี้มีทั้งสิ้น 69 มาตรา ไม่มีการแก้ไข ไม่มีกรรมาธิการสงวนความเห็น แต่มีการตั้งข้อสังเกตที่สำคัญมาก และมี สว. แปรญัตติ จำนวน 3 คน มีผู้สงวนคำแปรญัตติ 2 คน

จากนั้นเป็นการพิจารณารายมาตรา โดยมาตราที่ 2 ที่กำหนดให้กฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน ซึ่งพลตำรวจโทศานิตย์ มหถาวร ไม่เห็นด้วยและขอแปรญัตติ ได้อภิปรายว่า เรามีการโต้เถียงกันมาตลอด ตนตั้งคำถามว่าทำไมถึงประกาศไม่ให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดไปหลังจากประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และถ้าเราไปดูเนื้อใน ไม่มีกฎหมายลูกมารองรับ เพื่อให้ฝ่ายบริหารนำไปปฏิบัติ ในการร่างกฏหมายควรจะให้สภาหรือวุฒิสภาได้รับรู้ถึงกฎหมายลูกด้วย


“ท่านมักจะตีกินอยู่เรื่อย แล้วให้ออกเช็คเปล่าให้เขาไป ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรี เป็นไปตามที่อธิบดีไปออกประกาศกำหนด ไปออกระเบียบข้อบังคับ เขาไม่เคยให้พวกเราได้ดูเลยครับท่านประธาน ผมจึงอยากเรียกร้อง เชื้อเชิญ ขอความเห็นใจ เมตตาปราณีกับน้องๆที่เขารอกฎหมายฉบับนี้มานาน ขอให้มันเร็วกว่านี้ได้หรือไม่ ถ้าได้จะเป็นอนุโมทนาหรือคุณูปการอย่างสูงเลยครับ” พลตำรวจโทศานิตย์ กล่าว

ขณะที่นายจิตรพรต พัฒนสิน กรรมาธิการ ชี้แจงว่า การกำหนดวันใช้บังคับของกฎหมาย บางบริบทขึ้นอยู่กับกฎหมายรอง การเตรียมการของหน่วยงานราชการส่วนต่างๆ เพื่อรองรับการบังคับใช้ของกฎหมาย จริงอยู่ที่กฎหมายนี้ไม่มีกฎหมายรอง แต่ในทางปฏิบัติ เช่น การจดทะเบียนครอบครัว ก็มีกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการปรับแก้จากให้บังคับใช้หลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเป็นเวลา 120 วัน

พลตำรวจโทศานิตย์ ลุกขึ้นกล่าวต่อว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เปลี่ยนแค่ถ้อยคำเท่านั้น ตนรู้สึกอึดอัดใจกับคำตอบของผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้เลย


“ไปถามคนนั้นมา คนนี้มา ผมก็ถาม ไม่รู้ว่าไปถามคนไหน ท่านก็อ้างไปเรื่อยหรือเปล่าไม่ทราบ ผมไม่ได้เจตนาให้ร้าย การที่จะเร็วกว่า 5 วัน เดือนหนึ่ง น่าจะเป็นคุณูประการต่อคนที่เขารอคอย ถ้าสัญญาว่าจะให้แล้วขอผลัดไปอีก 4 เดือน ท่านเมตตาได้หรือไม่ มันจะเป็นต้องศึกษาอะไรมากมาย ท่านไม่ต้องไปซักซ้อมทำความเข้าใจอะไรเลย ก็เรียนด้วยความเคารพว่ากฎหมายบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ ไม่มีเหตุไม่มีผลอะไรเลย แล้วก็อ้างนู่นนี่นั่น” พลตำรวจโทศานิตย์ กล่าว

ทำให้นางสาวปิยฉัฏฐ์ วันเฉลิม กรรมาธิการ ลุกขึ้นชี้แจงว่า การประกาศใช้เร็วเป็นความต้องการของภาคประชาชนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ฝั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะต้องมีความพร้อมด้วย นอกจากบุคลากรแล้วยังต้องมีความพร้อมในเรื่องของอุปกรณ์ด้วย ไม่ใช่แค่กระดาษที่จะพิมพ์ แต่รวมถึงฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพราะต้องมีระบบฐานข้อมูล กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีผลกระทบแค่กรุงเทพมหานครและกระทรวงมหาดไทย แต่เป็นทั่วประเทศและทุกกระทรวง เรามองเรื่องความพร้อมสำคัญ ดังนั้นจึงมองว่า 120 วันนั้นเพียงพอ

ท้ายที่สุด ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยตามกรรมมาธิการ ด้วยคะแนนเสียง 137 คน ไม่เห็นด้วย 9 คน งดออกเสียง 2 คน ไม่ลงคะแนน 1 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจาก สว.ส่วนใหญ่ เห็นพ้องเหมือนคณะกรรมาธิการ โดยมีสมาชิกอภิปราย 1-2 คนในแต่ละมาตรา ซึ่งหนึ่งในคนที่เป็นที่สังเกตคือ พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร เป็น สว.ที่ขอสงวนคำแปรญญัตติแทบทุกมาตรา โดยพยายามเปลี่ยนนิยามของคำ เช่น คำว่าคู่สมรส เปลี่ยนเป็นสามีภรรยาหรือคู่สมรส, คำว่าบุคคล เปลี่ยนเป็นชายและหญิง หรือผู้หมั้น

โดยในที่ประชุม พลเอกวรพงษ์ ย้ำว่าตนไม่เห็นด้วยกับวิธีการและหลักการในการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ การเอาคำว่าสามีภรรยา เพศชาย เพศหญิงออกไป และใช้คำอื่นมาแทน เช่น คู่สมรสอคู่หมั้น ซึ่งไม่ได้ระบุเพศที่ชัดเจนมาแทน โดยอ้างว่าเพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม การแก้ไขแบบนี้ตนถือว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันครอบครัวอย่างรุนแรงที่สุด เพราะสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญของสังคมไทย และอยู่ในสภาพที่เปราะบาง การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้สถาบันครอบครัวพังทะลายลงเร็วขึ้น

“ถ้าถามว่าครอบครัวประกอบด้วยใครบ้าง ถามเด็ก ถามใคร ถามผู้ใหญ่ ถามที่โรงเรียน เาก็จะบอกว่าประกอบด้วยพ่อแม่ลูกพ่อคือผู้ชายแม่คือผู้หญิงหรืออาจจะบอกว่าประกอบด้วยสามีภรรยาและบุตรสามีคือผู้ชายภรรยาคือผู้หญิง บุตรก็ว่าไป คำพวกนี้ เขามีความหมาย และระบุเพศไว้ชัดเจนว่าเพศอะไร เพศกำเนิด ที่สำคัญคือคำว่าสามีภรรยาจะปรากฏอยู่ในกฎหมายฉบับนี้เป็นที่แรก เพราะเกิดจากการสมรส ถ้าเอาออกไปจะหายไปจากสารบบภาษาไทย จะสะเทือนถึงสถาบันครอบครัว ไปถึงเรื่องเพศชายเพศหญิง” พลเอกวรพงษ์ กล่าว

พลเอกวรพงษ์ กล่าวต่อว่า การแก้ไขตรงนี้จะบานปลายต่อไปอีก เพราะฉะนั้นต้องคิดให้ดี ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ตนจึงบอกว่าการแก้กฎหมายแบบนี้ไม่ได้เป็นการยกระดับ LGBTQ ขึ้นมาให้เท่าเทียมกับเพศชายเพศหญิง แต่เป็นการกดเพศชายเพศหญิงลงไปให้เข้ากับ LGBTQ จะทำให้ภาพเบลอไม่ชัด

“LGBTQ ก็จะไปเรียกร้องให้แก้แบบเรียน มหาดไทยต่างๆ เพื่อให้เข้าไปในกลุ่มของท่าน ทะเบียนสมรสก็ออกแบบใหม่อีกแล้ว ไม่มีผู้ชายชื่ออะไร ผู้หญิงชื่ออะไร ผมติดใจการแก้ไขกฎหมาย ทำไมท่านถึงไม่เอะใจ ว่ากฎหมายฉบับนี้จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง” พลเอกวรพงษ์ กล่าว

พลเอกวรพงษ์ ระบุว่าการแก้ไขกฎหมายแบบนี้ได้ 10 เสีย 90 สังคมสภาพครอบครัวถูกเซาะกร่อนทำลาย ถ้าไม่ตั้งใจก็ถือว่าดี แต่ถ้าตั้งใจก็ถือว่าแย่มาก ตนขอให้พอ ยังกลับตัวทัน พร้อมขอให้เพื่อนสมาชิกฟังตนอธิบายด้วยความรอบคอบก่อนที่จะลงมติ.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เขยโหดบุกยิงแม่ยาย-ญาติ ดับ 3 ก่อนจบชีวิตตัวเอง

ปทุมธานี 3 ก.ย. – เขยปืนโหด ถูกจับได้ว่าแอบคบกับน้องเมียวัย 13 ปี บุกยิงยกครัวเมียที่บ้านพัก ย่านปทุมธานี แม่ยาย-น้องเมีย-น้า เสียชีวิต ก่อนจบชีวิตตัวเองหนีความผิด เหตุดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.10 น. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สภ.คลองห้า จ.ปทุมธานี ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ 7 ต.คลองเจ็ด อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จุดเกิดเหตุอยู่ด้านหลังบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่ง พบร่างนางทัศนี อายุ 46 ปี นอนเสียชีวิตอยู่ด้านข้างโต๊ะกินข้าว ตามร่างกาย มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ศีรษะ ข้างกันพบปลอกกระสุนปืนขนาด.380 ตกอยู่จำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังพบร่างนายชัยวัฒน์ อายุ 43 ปี น้องชายนางทัศนีย์ ได้รับบาดเจ็บ ส่วนในบ้านพบ ด.ญ.วันเพ็ญ อายุ 13 ปี ลูกสาวนางทัศนีย์ ได้รับบาดเจ็บอีกราย เจ้าหน้าที่กู้ชีพและกู้ภัยฯ […]

พรรคร่วมฯ ใหม่ ตบเท้าร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลกับ “ภูมิใจไทย”

รัฐสภา 3 ก.ย.-พรรคร่วมฯ ใหม่ ตบเท้าร่วมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลกับ “ภูมิใจไทย” ก๊วน “สุชาติ-ธรรมนัส-สันติ” ร่วมด้วย ด้านงูเห่า “เพื่อไทย-ปชป.” โผล่โชว์ตัว บรรยากาศการประชุมพรรคภูมิใจไทย ภายหลังพรรคประชาชนมีมติโหวตให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลต่างทยอยเดินทางมาเพื่อรอแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลในเวลา 11:00 น. โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น สส.รวมไทยสร้างชาติ นำกลุ่ม 18 สส. เดินทางมาเป็นกลุ่มแรก อย่างไรก็ตามไม่พบว่ามี สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ของกลุ่มนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินทางมาร่วมแต่อย่างใด ขณะที่ตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐ นำโดย ชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามมาด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่นำ สส.เพชรบูรณ์ มาร่วมด้วย จากนั้น พรรคกล้าธรรม นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม พร้อมแกนนำพรรค เช่น นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรค นายไผ่ […]

“ทักษิณ” รับผิดไว้ใจ “ธรรมนัส” มากเกินไป

กรุงเทพฯ 2 ก.ย.- “ทักษิณ” ยอมรับผิด ไว้วางใจ “ธรรมนัส” มากเกินไป ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล ต้องรอดูพรรคประชาชน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.ย. สส.พรรคเพื่อไทย ประมาณ 10 คน ได้นัดเลี้ยงสังสรรค์ให้นายฉลาด ขามช่วง ที่ได้รับเลือกให้เป็นดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เมื่อเรื่องรู้ถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ จึงเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับนายฉลาด ด้วย โดยในวงรับประทานอาหาร นายทักษิณ พูดถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ถอนตัวจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยยอมรับผิดว่า “ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส มากเกินไป พี่ผิดไปแล้ว พี่ดูคนผิด” ทำให้ สส. ที่ร่วมวงอยู่นั้นสวนทันทีว่านายทักษิณ โดนคนหลอกตลอด ซึ่ง สส.ที่ร่วมวง ต่างเห็นตรงกันว่า ไม่เคยเห็นนายทักษิณ ยอมรับผิดแบบนี้มาก่อน เห็นได้ว่านายทักษิณ ได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดมาก พร้อมกันนี้ สส. […]

เปิดชื่อ 20 สส.เพื่อไทย ส่งศาล รธน. ปมตุลาการหมดวาระ

พรรคเพื่อไทย 2 ก.ย.- เปิดชื่อ 20 สส.เพื่อไทย เข้าชื่อส่งศาล รธน. ปมตุลาการหมดวาระ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 20 สส.เพื่อไทย นำโดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปรัฐบาล ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการพิจารณาวินิจฉัย เรื่องพิจารณาที่ 17/2568 กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ซึ่งเป็นวันวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป แทน นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง ดังนั้น เมื่อได้รับทราบถึงการมีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายสราวุธ แทนนายปัญญา ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระแล้ว จึงไม่ควรที่จะให้ นายปัญญา […]

ข่าวแนะนำ

อดีตนายกฯ โพสต์พร้อมทุ่มเททำหน้าที่ฝ่ายค้าน-ตรวจสอบรัฐบาล

กรุงเทพ 5 ก.ย.- “แพทองธาร” ระบุ จากวันนี้เพื่อไทยทุ่มเททำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานรัฐบาล บอก ไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากรัฐบาลชุดใหม่ พร้อมขอบคุณผู้สนับสนุน จะผ่านวันนี้ไปด้วยกัน และจะกลับมาด้วยหัวใจเพื่อประชาชน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ตลอดระยะเวลาการทำงานของพรรคเพื่อไทย เราผ่านสถานการณ์ทุกรูปแบบ ทั้งช่วงเวลาแห่งความสุข และช่วงเวลาที่ต้องแบกรับความยากลำบากร่วมกัน แต่สิ่งที่เราไม่เคยละวาง คือความหวัง โอกาส และอนาคตที่ดีกว่าของประชาชน จากวันนี้ เราจะทุ่มเททำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รักษาระบบรัฐสภาให้เดินหน้าตามวิถีทางประชาธิปไตย เราไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากรัฐบาลชุดใหม่นี้ แต่เราจะรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชน ด้วยความมุ่งมั่นและจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ขอบคุณกำลังใจและการสนับสนุนจากทุกท่าน เราทราบดีว่า การเดินทางร่วมกับพรรคเพื่อไทยจนถึงวันนี้ ต้องใช้ความเข้มแข็งและอดทนถึงเพียงไหน เราจะผ่านวันนี้ไปด้วยกัน และจะกลับมาด้วยหัวใจเพื่อประชาชน .-316 -สำนักข่าวไทย

“อนุทิน” ก้มกราบพ่อ หลังได้รับโหวตนั่งเก้าอี้นายกฯ

รัฐสภา 5 ก.ย.- “อนุทิน” ก้มกราบพ่อ หลังได้รับโหวตนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 เดินทางไปเยี่ยม นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดา ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ภายหลังได้รับการโหวตจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง ทันทีที่ถึงโรงพยาบาล นายอนุทินได้ก้มกราบที่ตักพ่อ พร้อมสวมกอดระหว่างที่พ่อกำลังรับประทานอาหารเย็น ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้ม สดใส ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายอนุทินจะเดินทางเข้าที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ในเวลา 20.00 น. ของวันนี้.-315 -สำนักข่าวไทย

เริ่มลงตัว! เปิดโผ​ “ครม.อนุทิน​ 1” แบ่งโควตาคนนอก 5 เก้าอี้

กทม.5 ก.ย.- เช็กโผ​ “ครม.อนุทิน​ 1” เริ่มลงตัว “ภูมิใจไทย” 12 เก้าอี้ แบ่งโควตาคนนอกอีก 5 เก้าอี้ มีชื่อ “เศรษฐพุฒิ” อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ นั่งขุนคลัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากที่นายอนุทิน​ ชาญวีรกูล​ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี​ จากสภาผู้แทนราษฎร ความเคลื่อนไหวการจัดตั้ง “ครม.อนุทิน 1” ก็ขยับทันที​ โดยมีการจัดสรรโควตาตามจำนวนเสียงที่ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเสียง​ข้างน้อย​ ร่วมกัน​ 146 ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย​ 12 เก้าอี้ เนื่องจากมีโควตาของคนนอก ที่จะไม่นับรวม อีก 5 เก้าอี้​ ส่วนพรรคกล้าธรรม 7 เก้าอี้ แบ่งเป็น 4 รัฐมนตรีว่าการ​ และ 3 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ขณะที่​ พรรคพลังประชารัฐ​ 4​ เก้าอี้ กลุ่มนายสุชาติ​ ชมกลิ่น​ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ 4 […]

เพื่อไทยโพสต์พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

กรุงเทพฯ 5 ก.ย.- พรรคเพื่อไทย พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ขอบคุณทุกแรงใจ ระบุ นโยบายหลายเรื่องค้างไว้ รอวันกลับมาสานต่อ ภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 311 เสียง เห็นชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า “พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตามครรลองของรัฐสภา ยึดมั่นหลักการประชาธิปไตย ขอขอบคุณทุกแรงใจ นโยบายหลายเรื่องที่ยังค้างไว้ เราจะรอวันกลับมาสานต่อให้สำเร็จ เพื่อคนไทยทุกคน…ตลอดไป” .-316 -สำนักข่าวไทย