“พิธา” มั่นใจไม่มีข้อกฎหมายใดเอาผิด “44 สส.ลงชื่อแก้ ม.112”

กรุงเทพฯ 9 มิ.ย. – “พิธา” มั่นใจไม่มีข้อกฎหมายใดเอาผิด “44 สส. ลงชื่อแก้ ม.112” ได้ บอกรู้ทัน มีบางพรรคอยากได้ลูกพรรคก้าวไกลไปเพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี ชี้ กกต. ยื่นคำร้องศาล รธน. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มองสัดส่วนความผิด แค่เตือนให้หยุดการกระทำก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรลากถึง กก.บห.ชุด 3


ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังแถลงแนวทางการต่อสู้ของพรรคก้าวไกลในคดีล้มล้างการปกครอง 9 ข้อ ถึงความมั่นใจในข้อต่อสู้ว่า 44 สส. ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะไม่ถูกพิจารณาทั้งหมด หรือถูกพิจารณาเป็นรายกรณี ว่ามั่นใจทุกข้อเท่ากัน เพราะทุกข้อเหมือนเป็นด่านและบันไดที่จะใช้ต่อสู้ ตั้งแต่ขอบเขตอำนาจของศาล ไปจนถึงสัดส่วนการได้โทษของกรรมการบริหารพรรค

แต่เรายังเชื่อว่าเจตนาและการกระทำของ สส. ในการเข้าชื่อแก้ไขกฎหมาย ไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง และไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ รวมถึงการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเป็นนายประกัน การที่มีสมาชิกและ สส. ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีความผิดมาตรา 112 การแสดงออกเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมาย มาตรา 112 ก็ถือเป็นการกระทำทั่วไป การกระทำทุกอย่างเป็นเรื่องรายบุคคลที่ถูกขยุมรวมกัน ไม่ได้มาจากมติพรรค ไม่ได้เป็นเรื่องนิติบุคคล แต่เป็นเรื่องปัจเจก ไม่ได้มีความเห็นที่ออกมาจากกรรมการบริหารพรรค ย้ำว่าต้องแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลธรรมดากับนิติบุคคล


สิ่งเดียวที่มีการออกมาตามมติของพรรค คือ การบรรจุเป็นนโยบายหาเสียง แต่ก็ไม่เป็นปฏิปักษ์ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เอง ก็อนุญาต ไม่ต้องถึงใช้ระดับวิญญูชน หรือระดับเดียวกับตอนที่ใช้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ และไม่ได้มีจดหมายเตือน และจดคำถามที่มาของนโยบายอย่างที่พรรคอื่นโดน

นายพิธา ยืนยันว่า ไม่ได้มีทั้งเจตนา และไม่มีข้อกฎหมายที่สามารถเอาผิดทั้ง 44 คน ในการเข้าชื่อแก้ไขกฎหมายที่ไม่ได้เข้าสภาฯ เพราะฉะนั้นไม่ได้มีความเร่งด่วนอะไรที่จะใช้มาตรการที่รุนแรง

ส่วนกรณีที่ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการพิจารณานั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 ระบุไว้ชัดเจนถึงอำนาจหน้าที่เฉพาะแค่ 3 ข้อ ไม่เหมือนกับศาลธรรมดาทั่วไป ยกเว้นหากกรณีที่ไม่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ให้ไปใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่เป็นบ่อเกิดให้มีอำนาจหน้าที่เกินจากนั้น ก็ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการยุบพรรค มีอำนาจในการตัดสิทธิ มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาในการแบนนักการเมือง เป็นต้น


เมื่อถามว่าอะไรคือการหลักฐานหรือข้อหักล้างที่สามารถพิสูจน์ว่าพรรคไม่มีเจตนาตั้งแต่ต้นในการล้มล้างการปกครอง นายพิธา กล่าวว่า 9 ข้อที่กล่าวไปมีน้ำหนักเท่าเทียมกันในการต่อสู้ ส่วนเจตนา เราพยายามพิสูจน์และพูดมาอย่างคงเส้นคงวาว่าเรายังมีความรู้สึก การรักษาพระราชทาน พระราชอำนาจ และเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านให้อยู่สูงกว่าการเมือง ไม่ได้ทำให้ระยะห่างกับประชาชนห่างขึ้น และไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายล้างซึ่งกันและกัน

ส่วนการคาดการณ์ไทม์ไลน์วันวินิจฉัยคดี นายพิธา กล่าวว่า คงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ตนคู่กรณีคงไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ หากศาลเห็นด้วยว่าคดีสองคดีไม่มีความผูกพันกัน ก็ควรจะเปิดโอกาสให้มีการไต่สวนและเตรียมพยาน ซึ่งพรรคก้าวไกลได้มีการเตรียมการผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ไว้มากกว่า 10 คน แต่เปิดเผยไม่ได้ และถ้าศาลเห็นว่าการพิจารณาในคดีนี้ มีข้อหาและโทษหนัก ต้องใช้มาตรฐานที่เข้มข้นกว่าคดีที่แล้ว ก็น่าจะให้เวลาและอนุญาตให้มีการไต่สวนสืบพยานได้ ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาพอสมควรให้สิ้นกระแสสงสัย

ทั้งนี้ ในคำร้องระบุถึงระยะเวลาในการถูกตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 ชุดของพรรคก้าวไกล ซึ่งตนคิดว่าสัดส่วนของโทษและเวลาที่ถูกกล่าวหาควรจะต้องสอดคล้องกัน ดังนั้น ไม่ควรจะลากไปถึงกรรมการบริหารพรรคชุดที่ 3 ซึ่งเกิดมาเพียงแค่ 6 เดือน

ส่วนหากเกิดการยุบพรรคจะส่งผลอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า “มันจะเป็นการยุบ 2 พรรคใน 5 ปี และเป็นการยุบ 5 ครั้ง ในรอบ 20 ปี ตนก็ไม่กล้าที่จะเดา หรือคิดว่ามันจะเกิดผลกระทบอะไรกับเมืองไทย หรือการเมืองไทย ทั้งที่เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทยเปราะบางขนาดนี้ ก็ไม่อยากให้ไปถึงตรงจุดนั้น”

นายพิธา ยังมองว่าการรักษาระบอบประชาธิปไตย และระบบพรรคการเมืองที่มีคุณค่าและมีความสำคัญ เป็นตัวแทนเป็นปากเป็นเสียงของพี่น้องประชาชน ถ้าไม่ถึงที่สุด ไม่รุนแรง ไม่ฉับพลัน ถึงขนาดที่ไม่มีวิธีแก้ไข ตนคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ในคดี 3/2567 คือการเตือนให้หยุดการกระทำ น่าจะได้สัดส่วนเพียงพอแล้ว ไม่ถึงกับต้องยุบพรรค ไม่จำเป็นต้องตัดสิทธิทางการเมือง แต่คงมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นประเทศ ระบอบประชาธิปไตย และพรรคการเมือง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยจนไม่ปกติ

นายพิธา ย้ำว่า ทั้ง 44 คน มีเจตนาดี เขาอาจจะไม่สมบูรณ์กันทุกคน แต่ถือว่าเป็นทรัพยากรทางการเมือง อาจจะทำผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่แน่นอนว่ายังมีความพยายาม ถือว่าเป็นเลือดใหม่ทางการเมือง ส่วนแผ่นสำรอง หากถูกยุบพรรคนั้น นายพิธา ย้ำว่า เราเตรียมการต่อสู้คดีเป็นหลัก แต่แน่นอนว่าต้องเตรียมตัวในทุกสถานการณ์

ส่วนความเชื่อมั่นในสมาชิกพรรคว่าหากเกิดการยุบพรรค สส.ของพรรคจะไม่ย้ายไปพรรคอื่นใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า แน่นอน ยังรู้สึกว่าการทำงานของพรรค ทั้งกระแสและเวลาที่อยู่ร่วมกัน มีความเป็นเอกภาพ มีความเป็นปึกแผ่น รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่างประสบการณ์ร่วมกันในการเลือกตั้งที่ผ่านมา เท่ากับการเป็นงูเห่าคือการฆ่าตัวตายทางการเมือง 100% ไม่มีสิทธิที่จะกลับมาเป็น สส. ได้เลย ไม่ประมาท แต่ก็ไม่กังวล เพราะมีบทเรียนมาทั้งภายนอกและภายใน

ขณะเดียวกันเราต้องฟัง แต่ยังไม่เชื่อถึงสิ่งต่างๆ หรือข้อมูลที่เข้ามา ต้องมีการตรวจสอบ “ตนก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่ไม่รู้ว่าอาจจะมีพรรคบางพรรคที่อยากได้โควตา สส. เพิ่ม ไปต่อรองรัฐมนตรี เรื่องพวกนี้ตนรู้ทันอยู่ แต่ยังมั่นใจในตัว สส. ของตัวเอง และไม่ได้หูเบาขนาดที่จะเห็นแล้วรู้สึกว่าเกิดความลำเอียงหรืออคติต่อ สส.คนนั้น ต้องให้โอกาสลูกพรรคตัวเองในการสันนิษฐานให้บริสุทธิ์ไว้ก่อน เชื่อในระบบและอุดมการณ์ของพวกเขา”.-312-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดชื่อ “73 อรหันต์” ถกร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ประชุมนัดแรก 9 มิ.ย.

รัฐสภา 31 พ.ค. – เปิดชื่อ “73 อรหันต์” ถกร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 69 ประชุมนัดแรก 9 มิ.ย.นี้ เคาะประธาน-รองประธาน วางกรอบการทำงาน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 73 คน ประกอบด้วย สัดส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) จำนวน 18 คน คือ 1. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง 2. นายจักรพงษ์ แสงมณี 3. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง 4. นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม 5. นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ 6. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ […]

สภาวุ่น! งูเห่าไทยสร้างไทย เสนอชื่อ กมธ.งบฯ แข่ง

รัฐสภา 31 พ.ค.- สภาวุ่น! งูเห่าไทยสร้างไทย เสนอชื่อ กมธ.งบฯ แข่ง ประธานสั่งพักประชุม 5 นาที สุดท้ายงูเห่ายอมถอย ไปอยู่สัดส่วน ครม.แทน การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลังที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติพิจารณางบประมาณรายจ่ายงบประมาณ 2569 ในขั้นตอนการเสนอชื่อกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 73 คน ในสัดส่วนของพรรคไทยสร้างไทย จำนวน 1 คน โดยนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน และ สส.พรรคประชาชน ได้เสนอชื่อ นายชัชวาล แพทยาไทย ขณะที่นางสุภาพร สลับศรี สส.พรรคไทยสร้างไทย นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ทำให้เกิดการประท้วงกันเนื่องจากมีการเสนอชื่อ 2 คน แต่ปกรณ์วุฒิ ยืนยันว่าพรรคไทยสร้างไทยมีหนังจากกรรมการบริหารพรรคว่าจะเสนอชื่อนายชัชวาล เป็นตัวแทนของพรรคทำให้นายฐากูร ยืนยันว่าที่ผ่านมาการเสนอชื่อบุคคลเป็นกรรมาธิการวิสามัญจะต้องถูกเสนอโดยคนของพรรคตัวเอง ไม่ใช่พรรคอื่น ซึ่งวันนี้พรรคไทยสร้างไทยเสนอชื่อตน แต่พรรคการเมืองอื่นเป็นเสนอชื่ออีกคน ทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ประธานในที่ประชุม วินิจฉัยว่า ใครจะเป็นผู้เสนอชื่อก็ได้ขอแค่มีผู้รับรอง ก่อนจะให้เวลาทั้ง 2 ฝ่ายหารือกัน […]

“ชาดา” ปลุกรัฐบาล ถ้าไม่แจกเงินหมื่น “นายกฯ เท้ง” มาแน่

รัฐสภา 31 พ.ค.-“ชาดา” ปลุกรัฐบาล ถ้าไม่แจกเงินหมื่น “นายกฯ เท้ง” มาแน่ ลั่นถ้าทำให้นายกฯ ไม่ได้ ก็เปลี่ยนตัว เอาคนอื่นไปนั่งแทน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วาระร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 นายชาดา กล่าวว่าในฐานะที่อยู่ในสภาฯ มาพอสมควร ขอชื่นชมฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลมีการพัฒนาในการอภิปรายอย่างมาก ปี 69 มีงบประมาณลงทุน 7 แสนล้านบาท คนพูดกันตลอดเวลาว่าทำไมช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยในประเทศนี้จึงห่างขึ้นทุกวัน ยกตัวอย่าง ในงบลงทุนเป็นงบก่อสร้าง 4.75 แสนล้านบาท ซึ่งงบก่อสร้างไม่เหมือนในอดีตเพราะต้องถูกตัดไปให้ธนาคาร 5% จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูเพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน ในจำนวนนี้มีค่าธรรมเนียม 2.5% ต่อปี นอกจากนี้ยังมีเรื่องเร่งรัดการเบิกจ่ายอีก 15% ซึ่งธนาคารตัดไป 3% และคิดค่าธรรมเนียมอีกต่างหาก นายชาดา กล่าวว่างบก่อสร้าง มีเครื่องจักรเหล็กหินวัสดุที่เป็นปูน หากเป็นงานถนนมีแรงงานเพียง 15% เงินส่วนนี้ไม่ได้ไปสู่ระบบข้างล่าง […]

ฝากขังพระเอกลิเกฆ่าลูกเลี้ยงป่วยออทิสติก

นครราชสีมา 30 พ.ค. – ตำรวจคุมตัวพระเอกลิเกฆ่าลูกเลี้ยงป่วยออทิสติก และขืนใจลูกวัย 11 ขวบ ฝากขังศาลจังหวัดนครราชสีมา อ้างวันเกิดเหตุถูกผู้ตายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยความโมโหและมึนเมาสุรา จึงก่อเหตุ ความคืบหน้ากรณีพ่อเลี้ยงพระเอกลิเกสุดโหดใช้ค้อนสำหรับทุบหมู ทำร้ายลูกเลี้ยงนางเอกลิเกที่ป่วยเป็นโรคออทิสติก จนบาดเจ็บเลือดคั่งในสมอง ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.นครราชสีมาบุกรวบตัวผู้ต้องหาคือ นายกิติทัช อายุ 48 ปี พระเอกลิเกชื่อ “รักยิ้ม ทับทิมสยาม” พ่อเลี้ยง ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เมื่อคืนที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ขณะผู้ต้องหากำลังเตรียมหลบหนีไปประเทศกัมพูชา ก่อนจะควบคุมตัวมายังสถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา เพื่อสอบปากคำ เช้าวันนี้ (30 พ.ค.) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา คุมตัวผู้ต้องหามาสอบสวนขยายผล จนผู้ต้องหา ยอมให้การรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุจริง อ้างว่าในวันเกิดเหตุถูกผู้ตายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยความโมโห พร้อมกับมีอาการมึนเมาจากการดื่มสุรา จึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว เบื้องต้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา “ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย” ส่วนข้อหากระทำอนาจารต่อลูกสาววัย 11 ขวบ ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลักฐาน หากตรวจพบหลักฐานที่ชัดเจนจะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังศาลจังหวัดนครราชสีมา […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ กัมพูชา สั่งระดมทหารประชิดชายแดนไทย

1 มิ.ย. – ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งระดมกำลังทหารประชิดชายแเดนไทย ขณะเดินทางเยือนญี่ปุ่น พร้อมติดตามสถานการณ์บริเวณชายแดนติดกับไทยอย่างใกล้ชิด หนังสือพิมพ์ขะแมร์ ไทมส์ รายงานว่า ฌอง-ฟรองซัว ตัน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศ ระบุว่านับตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งตามมแนวชายแดนระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจเยือนญี่ปุ่น ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเดินทางกลับมายังกัมพูชา เมื่อคืนที่ผ่านมา และได้สั่งการด้วยตัวเองให้ระดมกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าประชิดชายแดนด้านที่ติดกับไทย เพื่อปกป้องอธิปไตยและพรมแดนกัมพูชา พร้อมกับยืนยันว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนด้านที่ติดกับไทย กลับมาสงบเรียบร้อยตามปกติแล้ว นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ยังได้ติดต่อและสั่งการตามสายงานลงไปยังรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเสนาธิการกองทัพบก ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแจ้งความคืบหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการปะทะกันครั้งล่าสุดระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย พร้อมกับเรียกร้องประชาชนชาวกัมพูชาเชื่อมั่นการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพและรัฐบาลกัมพูชา ในการปกป้องดินแดน และหาหนทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณชายแดนติดกับไทย โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และหลังจากนี้ คณะกรรมการพรมแดนของกัมพูชา มีกำหนดพบหารือในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับรายละเอียดข้อขัดแย้ง และนำเสนอเพื่อเข้าสู่การเจรจาต่อไป.-สำนักข่าวไทย

วิวคว้าแชมป์

“วิว-บาส-เฟม” คว้าแชมป์แบดฯ สิงคโปร์ โอเพ่น

1 มิ.ย. – “วิว กุลวุฒิ” ตบชนะ ลู กวาง ซู จากจีน 2 เกมรวด คว้าแชมป์ชายเดี่ยวแบดมินตันสิงคโปร์ โอเพ่น ส่วน “บาส-เฟม” คว้าแชมป์คู่ผสมมาครองได้สำเร็จ แบดมินตัน ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 รายการ สิงคโปร์ โอเพ่น ที่ประเทศสิงคโปร์ ประเภทชายเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ชาวไทย ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักของไทยคนแรกที่ขึ้นมือ 1 ของโลก ตบเอาชนะ ลู กวาง ซู จากจีน 2 เกมรวด 21-6 , 21-10 คว้าแชมป์ไปครอง พร้อมฉลองแชมป์ ก่อนขึ้นมือ 1 ของโลกอย่างทางการในสัปดาห์ในการประกาศจากสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) และยังเป็นแชมป์ที่ 4 ในปีนี้ของ “วิว” […]

“มาริษ” แถลงสถานการณ์ “ไทย-กัมพูชา” คาด 1-2 สัปดาห์ได้ประชุม “JBC”

.ต่างประเทศ 1 มิ.ย.-“มาริษ” นำแถลงสถานการณ์ “ไทย-กัมพูชา” ยันทำทุกทางไม่ให้บานปลาย ย้ำ กต.ไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เผยยกหูหา “รองนายกฯ กัมพูชา” แล้ว เห็นพ้องตรงกัน เกิดความสงบความเรียบร้อยตามแนวชายแดน ด้าน “โฆษก กต.” ยันโพสต์ “ฮุนเซน” ไม่มีผล คาด 1-2 สัปดาห์ได้ประชุม “JBC” แน่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำแถลงข่าวเกี่ยวกับพัฒนาการสถานการณ์ไทย-กัมพูชา พร้อมด้วย พลเอก มนัส จันดี เสนาธิการทหาร , นางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังการประชุมกว่า 2 ชั่วโมง ว่า ตนได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จัดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยไทยและกัมพูชา เป็นประเทศที่มีความใกล้ชิดกัน ทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชน จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะไม่ให้สถานการณ์บานปลายถึงขั้นกระทบกระเทือนถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งถ้ากระทบมากไปจะไม่เป็นผลดี อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก […]

“วิว กุลวุฒิ” นักแบดชายเดี่ยวไทยคนแรก ขึ้นเป็นมือ 1 โลก

สิงคโปร์ 1 มิ.ย.-“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบลูกขนไก่ มือ 2 ของโลก ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ แบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 พร้อมจะขยับขึ้นเป็นมือ 1 โลกชายเดี่ยว เป็นคนแรกของไทย ผลการแข่งขัน แบดมินตัน สิงคโปร์ โอเพ่น 2025 รายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 33 ล้านบาท ที่สิงคโปร์ ประเภทชายเดี่ยว รอบรองชนะเลิศ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 2 ของโลก และเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก “ปารีสเกมส์ 2024” ตบเอาชนะ หลิน ชุนยี่ มือ 19 ของโลก จากไต้หวัน 2-0 เกม 21-11 […]