หลวงพระบาง 28 ม.ค.- “ปานปรีย์” เดินเผยไทย-ลาว-อินโดฯ เห็นพ้องคุยเรื่องเมียนมาในเวที รมต.กต. อย่างไม่เป็นทางการ หวังให้เกิดสันติภาพ หนุนไทยริเริ่มพื้นที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เล็งใช้ชายแดนฝั่งตรงข้าม จ.ตาก ขณะเดียวกันมีข่าวดี อินโดฯ สนใจซื้อข้าวไทยเพิ่มอีก 1 ล้านตัน
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเดินทางมาร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีกำหนดการ เข้าร่วมประชุมในวันพรุ่งนี้ ในวันนี้ได้พบหารือทวิภาคีกับนายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และหารือทวิภาคีกับนางเริตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
นายปานปรีย์ เปิดเผยว่า ได้หยิบยกประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในเมียนมา ขึ้นมาหารือกับทางรัฐมนตรีต่างประเทศลาวและอินโดนีเซีย ซึ่งทุกคนก็มีความเป็นห่วงอยากให้เกิดสันติภาพในเมียนมาโดยเร็ว แต่อย่างไรก็ตามเรายึดเรื่องฉันทามติ 5 ข้อ ของอาเซียน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของมนุษยธรรม และไทยมองว่าหากเราเดินในจุดนี้ก่อน ก็จะนำไปสู่จุดอื่นๆที่จะแก้ไขภายใต้ฉันทามติ 5 ข้อได้ ซึ่งทั้งลาวและอินโดนีเซียก็เห็นด้วยในหลักการ และเชื่อว่าจะมีการเสนอเรื่องนี้ในเวทีการประชุมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการด้วย
นายปานปรีย์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการผลักดันพื้นที่ปลอดภัยหรือ Safe Zone ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ มนุษยธรรมในเมียนมาว่า ได้มีการพูดคุยกับทางการเมียนมาให้ยอมรับก่อนที่จะดำเนินการผลักดันโดยขั้นตอนนี้ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาพื้นที่ที่จะใช้เป็น Safe Zone โดยกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ตน จะเดินทางไปจังหวัดตากร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ซึ่งคิดว่าหากคุยรายละเอียดเสร็จเรียบร้อยแล้วและเป็นที่ยอมรับได้ก็น่าจะใช้พื้นที่บริเวณชายแดน จังหวัดตากทำเป็นพื้นที่ สำหรับให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านอกจากนี้ทางอินโดนีเซียยังได้พูดคุยจะขอซื้อข้าวจากไทยจำนวน 1 ล้านตันซึ่งขณะนี้ได้ทำ MOU ร่วมกันแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการจัดส่งออกไป และทางอินโดนีเซียยังแจ้งกับตนว่ายังต้องการเพิ่มอีก 1 ล้านตัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี นอกจากนี้ยังจะเชิญตนเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ ก็ได้รับปากว่าจะหาเวลาเดินทางไป.-312-สำนักข่าวไทย