จี้ราชทัณฑ์ส่งเหตุผลต่อเวลารักษา-รูปถ่ายกับผู้คุม

รัฐสภา 26 ธ.ค.-“สมชาย” เผยคำแถลงการณ์กสม.ถูกราชทัณฑ์บิดเบือนการจำแนกนักโทษ ชี้คุมขังนอกคุกต้องไม่ใช่บ้าน จี้เปิดหนังสือต่อเวลารักษา “ทักษิณ” พร้อมรูปถ่ายร่วมกับผู้คุมที่ต้องส่งรายงานทุก 2 ชั่วโมง


นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวในที่ประชุมวุฒิสภาถึงผลการประชุมของคณะกรรมาธิการฯ วานนี้ (25 ธ.ค.) ที่เชิญกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) และผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมมาชี้แจงกรณีการออกระเบียบการคุมขังนอกเรือนจำ การพักโทษ และคำแถลงการณ์ของกสม.ที่ถูกกระทรวงยุติธรรมนำไปใช้อ้างอิง ซึ่งกสม.ยืนยันว่าไม่ตรงตามที่กระทรวงยุติธรรมแถลงข่าว

“แต่สอดคล้องกับความเห็นของกรรมาธิการฯ ที่เคยเสนอความเห็นไปยังรัฐบาล ถึงการลดปัญหาความแออัดของเรือนจำ ที่ควรแยกขังผู้ที่ยังไม่ได้ถูกศาลพิพากษา รวมถึงผู้ป่วย ผู้เปราะบางในวาระสุดท้าย เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มะเร็งระยะสุดท้าย หรือสตรีตั้งครรภ์ และระยะเวลาการต้องโทษเหลือไม่มากที่ควรได้รับการลดโทษ พักโทษ หรือปล่อยตัวแบบมีเงื่อนไข หรือไปอยู่ในสถานที่คุมขังอื่น ดังนั้น คำแถลงการณ์ของ กสม.จึงไม่ตรงกับการสื่อสารของฝ่ายการเมืองที่จะใช้พักโทษสำหรับนักโทษบางคน” นายสมชาย กล่าว


นายสมชาย กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจมีผลกระทบต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ กฎกระทรวงปี 2563 ที่ออกมาบังคับใช้ก่อนหน้านี้ รวมถึงระเบียบราชทัณฑ์เรื่องการคุมขังนอกเรือนจำ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 และขัดต่อประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่องหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักโทษเข้ารับพักโทษ เนื่องจากจำเป็นร้ายแรง พิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งตามเนื้อหาในกฎกระทรวงระบุถึงการใช้สถานที่คุมขัง ให้เป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด สามารถป้องกันการหลบหนีของนักโทษได้ และได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโทษที่ระบุตามคำพิพากษา หรือไม่น้อยกว่า 10 ปี ในกรณีต้องโทษจำคุกเกิน 30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งขัดต่อระเบียบกระทรวงที่ระบุถึงบ้านพัก ที่อยู่อาศัย เป็นสถานที่คุมขังได้

“ตามเจตนารมณ์คือเมื่อนักโทษที่เหลือโทษน้อย ผ่านคัดกรองผ่านแล้ว สามารถไปทำงานในโรงงานเขตนิคมอุตสาหกรรมและพักค้างแรมได้ แต่ไม่ใช่การกลับไปพักอาศัยที่บ้านที่สะดวกสบาย และไม่มีลักษณะคุมขัง รวมถึงยังออกระเบียบราชทัณฑ์มารับรองอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงและระเบียบกรมราชทัณฑ์อาจเกิดปัญหา และหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักโทษนั้น นักโทษเด็ดขาดที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ให้อนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยพักโทษ โดยนักโทษจะต้องไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และมีโทษจำคุกเหลือไม่ถึง 10 ปี จึงเรียกร้องไปยังกระทรวงยุติธรรม พิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ได้รับคำชี้แจงการกรมราชทัณฑ์เรื่องการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่โรงพยาบาลตำรวจที่เกิน 120 วันแล้ว ซึ่งผู้บัญชาการเรือนจำใช้หลักเกณฑ์เกณฑ์อนุมัติให้นายทักษิณพักรักษาตัวต่อ โดยยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์และส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้ว เพราะเมื่อครบ 30 วันผู้บัญชาการเรือนจำได้ส่งความเห็นไปยังอธิบดี เมื่อครบ 60 วันขออนุมัติอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และแจ้งปลัดกระทรวงยุติธรรมทราบ และเมื่อครบ 120 วัน ผู้บัญชาการเรือนจำได้ทำความเห็นผ่านไปยังรัฐมนตรีเพื่อทราบ พร้อมหลักฐานความเห็นคำวินิจฉัยของแพทย์


“กรมราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจนำตัวผู้ต้องขัง ออกจากโรงพยาบาล เพราะแพทย์ได้ลงนามรับรองในใบการรักษาประกอบที่แนบไปพร้อมกับคำขอให้นักโทษพักรักษาตัวต่อเนื่อง จึงเรียกร้องไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ตรวจสอบอาการป่วยของนายทักษิณ เพราะโรคที่ทราบทั้งความดันโลหิตสูง โควิด-19 เส้นเลือดตีบ และติดเชื้อที่ปวด รวมถึงข้อกระดูกเสื่อม ถือเป็นโรคปกติที่ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวเกิน 120 วัน คณะแพทย์ที่ประชุมร่วมกับกรรมาธิการฯ เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.) ให้ความเห็นว่า หากเป็นอาการเกิน 120 วัน อาจจะต้องป่วยร้ายแรง เป็นวาระสุดท้าย หรือร้ายแรงมากถึงขั้นติดเตียง” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ได้สอบถามผู้แทนกรมราชทัณฑ์ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทราบว่าไม่เคยไปพบนักโทษที่โรงพยาบาลตำรวจเลย ทั้งที่ตามระเบียบจะต้องใส่กุญแจมือ ตีตรวน ส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าผลัดละ 2 คน และจะต้องตรวจเวชระเบียน ลงบันทึกผู้เยี่ยม รวมถึงถ่ายภาพคู่กับผู้ต้องขังเพื่อรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แต่ที่ทราบมีเพียงผู้คุมนักโทษผลัดละ 2 คนเท่านั้น จึงเรียกร้องให้กรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปตรวจที่โรงพยาบาลตำรวจว่าแพทย์ผู้รักษาโรงพยาบาลตำรวจ ให้การเท็จหรือไม่ และนายทักษิณ ป่วยด้วยโรคใดถึงต้องรักษาตัวต่อเนื่องเกิน 120 วัน เพื่อให้สังคมรับทราบ

“ขณะนี้ยังมีความเคลือแคลบสงสัย ซึ่งกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ กรรมาธิการสาธารณะสุขและกสม.พร้อมให้ความช่วยเหลือ และร่วมติดตามตรวจสอบด้วย พร้อมเรียกร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำส่งเอกสารและใบรับรองแพทย์ที่ขออนุญาตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อคราวขอต่ออายุการรักษานายทักษิณ 30 วัน, 60 วัน และ 120 วัน เพื่อให้กรรมาธิการฯ พิจารณาว่า เหตุใดแพทย์จึงลงความเห็นให้นายทักษิณต้องรักษาตัวต่อเนื่อง เพราะแพทย์โรงพยาบาลตำรวจยืนยันว่าไม่มีอำนาจอนุญาต ขอให้กรมราชทัณฑ์ส่งรูปถ่ายผู้คุมขังถ่ายคู่กับนักโทษทุก ๆ 2 ชั่วโมงมายังกรรมาธิการฯ ตั้งแต่วันแรก จนครบ 125 ในวันนี้ (26 ธ.ค.)” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจกรมราชทัณฑ์ที่หลายคนขอย้ายตัวออกจากหน่วยไปอยู่กรมหรือกระทรวงอื่น ขอให้ข้าราชการลุกขึ้นชี้แจงความจริงให้ผู้บริหารฝ่ายการเมืองได้เข้าใจ เหมือนปัญหาในกระทรวงพาณิชย์ที่ผ่านมาในอดีต จนสามารถดำเนินคดีจำนำข้าวได้ แต่หากข้าราชการ เผลอไปทำตามคำสั่งฝ่ายการเมือง เพื่อประโยชน์อื่นใด จะต้องคำนึงถึงอดีตข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ที่ถูกจำคุกอยู่ จึงขอให้กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ควบคุมนักโทษอย่างมีประสิทธิภาพ ให้การแก้ปัญหาบ้านเมืองเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา

“แต่หากยังขาดความสามารถ จึงขอให้ฝ่ายค้าน ได้ตัดงบกรมราชทัณฑ์ให้หมด เพราะถือว่าหน่วยงานนี้ขาดความจำเป็นแล้ว หากให้นักโทษไปคุมขังที่บ้านได้ รวมถึงการแก้ไขพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม เพื่อจัดตั้งศาลแผนกบังคับโทษ หลังระเบียบราชทัณฑ์ เหนืออำนาจตุลาการ สามารถลดโทษคำพิพากษาจำคุกของศาลได้” นายสมชาย กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]