จี้ราชทัณฑ์ส่งเหตุผลต่อเวลารักษา-รูปถ่ายกับผู้คุม

รัฐสภา 26 ธ.ค.-“สมชาย” เผยคำแถลงการณ์กสม.ถูกราชทัณฑ์บิดเบือนการจำแนกนักโทษ ชี้คุมขังนอกคุกต้องไม่ใช่บ้าน จี้เปิดหนังสือต่อเวลารักษา “ทักษิณ” พร้อมรูปถ่ายร่วมกับผู้คุมที่ต้องส่งรายงานทุก 2 ชั่วโมง


นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวในที่ประชุมวุฒิสภาถึงผลการประชุมของคณะกรรมาธิการฯ วานนี้ (25 ธ.ค.) ที่เชิญกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) และผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมมาชี้แจงกรณีการออกระเบียบการคุมขังนอกเรือนจำ การพักโทษ และคำแถลงการณ์ของกสม.ที่ถูกกระทรวงยุติธรรมนำไปใช้อ้างอิง ซึ่งกสม.ยืนยันว่าไม่ตรงตามที่กระทรวงยุติธรรมแถลงข่าว

“แต่สอดคล้องกับความเห็นของกรรมาธิการฯ ที่เคยเสนอความเห็นไปยังรัฐบาล ถึงการลดปัญหาความแออัดของเรือนจำ ที่ควรแยกขังผู้ที่ยังไม่ได้ถูกศาลพิพากษา รวมถึงผู้ป่วย ผู้เปราะบางในวาระสุดท้าย เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มะเร็งระยะสุดท้าย หรือสตรีตั้งครรภ์ และระยะเวลาการต้องโทษเหลือไม่มากที่ควรได้รับการลดโทษ พักโทษ หรือปล่อยตัวแบบมีเงื่อนไข หรือไปอยู่ในสถานที่คุมขังอื่น ดังนั้น คำแถลงการณ์ของ กสม.จึงไม่ตรงกับการสื่อสารของฝ่ายการเมืองที่จะใช้พักโทษสำหรับนักโทษบางคน” นายสมชาย กล่าว


นายสมชาย กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจมีผลกระทบต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องจำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ กฎกระทรวงปี 2563 ที่ออกมาบังคับใช้ก่อนหน้านี้ รวมถึงระเบียบราชทัณฑ์เรื่องการคุมขังนอกเรือนจำ ที่ประกาศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 และขัดต่อประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่องหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักโทษเข้ารับพักโทษ เนื่องจากจำเป็นร้ายแรง พิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งตามเนื้อหาในกฎกระทรวงระบุถึงการใช้สถานที่คุมขัง ให้เป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด สามารถป้องกันการหลบหนีของนักโทษได้ และได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโทษที่ระบุตามคำพิพากษา หรือไม่น้อยกว่า 10 ปี ในกรณีต้องโทษจำคุกเกิน 30 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งขัดต่อระเบียบกระทรวงที่ระบุถึงบ้านพัก ที่อยู่อาศัย เป็นสถานที่คุมขังได้

“ตามเจตนารมณ์คือเมื่อนักโทษที่เหลือโทษน้อย ผ่านคัดกรองผ่านแล้ว สามารถไปทำงานในโรงงานเขตนิคมอุตสาหกรรมและพักค้างแรมได้ แต่ไม่ใช่การกลับไปพักอาศัยที่บ้านที่สะดวกสบาย และไม่มีลักษณะคุมขัง รวมถึงยังออกระเบียบราชทัณฑ์มารับรองอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงและระเบียบกรมราชทัณฑ์อาจเกิดปัญหา และหลักเกณฑ์การคัดเลือกนักโทษนั้น นักโทษเด็ดขาดที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ให้อนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยพักโทษ โดยนักโทษจะต้องไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และมีโทษจำคุกเหลือไม่ถึง 10 ปี จึงเรียกร้องไปยังกระทรวงยุติธรรม พิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ได้รับคำชี้แจงการกรมราชทัณฑ์เรื่องการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่โรงพยาบาลตำรวจที่เกิน 120 วันแล้ว ซึ่งผู้บัญชาการเรือนจำใช้หลักเกณฑ์เกณฑ์อนุมัติให้นายทักษิณพักรักษาตัวต่อ โดยยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์และส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้ว เพราะเมื่อครบ 30 วันผู้บัญชาการเรือนจำได้ส่งความเห็นไปยังอธิบดี เมื่อครบ 60 วันขออนุมัติอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และแจ้งปลัดกระทรวงยุติธรรมทราบ และเมื่อครบ 120 วัน ผู้บัญชาการเรือนจำได้ทำความเห็นผ่านไปยังรัฐมนตรีเพื่อทราบ พร้อมหลักฐานความเห็นคำวินิจฉัยของแพทย์


“กรมราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจนำตัวผู้ต้องขัง ออกจากโรงพยาบาล เพราะแพทย์ได้ลงนามรับรองในใบการรักษาประกอบที่แนบไปพร้อมกับคำขอให้นักโทษพักรักษาตัวต่อเนื่อง จึงเรียกร้องไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ตรวจสอบอาการป่วยของนายทักษิณ เพราะโรคที่ทราบทั้งความดันโลหิตสูง โควิด-19 เส้นเลือดตีบ และติดเชื้อที่ปวด รวมถึงข้อกระดูกเสื่อม ถือเป็นโรคปกติที่ไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวเกิน 120 วัน คณะแพทย์ที่ประชุมร่วมกับกรรมาธิการฯ เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.) ให้ความเห็นว่า หากเป็นอาการเกิน 120 วัน อาจจะต้องป่วยร้ายแรง เป็นวาระสุดท้าย หรือร้ายแรงมากถึงขั้นติดเตียง” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ได้สอบถามผู้แทนกรมราชทัณฑ์ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทราบว่าไม่เคยไปพบนักโทษที่โรงพยาบาลตำรวจเลย ทั้งที่ตามระเบียบจะต้องใส่กุญแจมือ ตีตรวน ส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าผลัดละ 2 คน และจะต้องตรวจเวชระเบียน ลงบันทึกผู้เยี่ยม รวมถึงถ่ายภาพคู่กับผู้ต้องขังเพื่อรายงานต่อผู้บังคับบัญชา แต่ที่ทราบมีเพียงผู้คุมนักโทษผลัดละ 2 คนเท่านั้น จึงเรียกร้องให้กรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมไปตรวจที่โรงพยาบาลตำรวจว่าแพทย์ผู้รักษาโรงพยาบาลตำรวจ ให้การเท็จหรือไม่ และนายทักษิณ ป่วยด้วยโรคใดถึงต้องรักษาตัวต่อเนื่องเกิน 120 วัน เพื่อให้สังคมรับทราบ

“ขณะนี้ยังมีความเคลือแคลบสงสัย ซึ่งกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ กรรมาธิการสาธารณะสุขและกสม.พร้อมให้ความช่วยเหลือ และร่วมติดตามตรวจสอบด้วย พร้อมเรียกร้องให้ผู้บัญชาการเรือนจำส่งเอกสารและใบรับรองแพทย์ที่ขออนุญาตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อคราวขอต่ออายุการรักษานายทักษิณ 30 วัน, 60 วัน และ 120 วัน เพื่อให้กรรมาธิการฯ พิจารณาว่า เหตุใดแพทย์จึงลงความเห็นให้นายทักษิณต้องรักษาตัวต่อเนื่อง เพราะแพทย์โรงพยาบาลตำรวจยืนยันว่าไม่มีอำนาจอนุญาต ขอให้กรมราชทัณฑ์ส่งรูปถ่ายผู้คุมขังถ่ายคู่กับนักโทษทุก ๆ 2 ชั่วโมงมายังกรรมาธิการฯ ตั้งแต่วันแรก จนครบ 125 ในวันนี้ (26 ธ.ค.)” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจกรมราชทัณฑ์ที่หลายคนขอย้ายตัวออกจากหน่วยไปอยู่กรมหรือกระทรวงอื่น ขอให้ข้าราชการลุกขึ้นชี้แจงความจริงให้ผู้บริหารฝ่ายการเมืองได้เข้าใจ เหมือนปัญหาในกระทรวงพาณิชย์ที่ผ่านมาในอดีต จนสามารถดำเนินคดีจำนำข้าวได้ แต่หากข้าราชการ เผลอไปทำตามคำสั่งฝ่ายการเมือง เพื่อประโยชน์อื่นใด จะต้องคำนึงถึงอดีตข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ที่ถูกจำคุกอยู่ จึงขอให้กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ควบคุมนักโทษอย่างมีประสิทธิภาพ ให้การแก้ปัญหาบ้านเมืองเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา

“แต่หากยังขาดความสามารถ จึงขอให้ฝ่ายค้าน ได้ตัดงบกรมราชทัณฑ์ให้หมด เพราะถือว่าหน่วยงานนี้ขาดความจำเป็นแล้ว หากให้นักโทษไปคุมขังที่บ้านได้ รวมถึงการแก้ไขพระราชบัญญัติให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม เพื่อจัดตั้งศาลแผนกบังคับโทษ หลังระเบียบราชทัณฑ์ เหนืออำนาจตุลาการ สามารถลดโทษคำพิพากษาจำคุกของศาลได้” นายสมชาย กล่าว.-312.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”