ทำเนียบ 12 ธ.ค.-“อนุทิน” ย้ำแก้หนี้นอกระบบ ไม่ใช่รัฐมาใช้หนี้แทนประชาชน พร้อมปกป้องเจ้าหนี้-ลูกหนี้ ทุกอย่างต้องเป็นธรรม ยันรัฐไม่ปล่อยเงินกู้ให้ลูกหนี้ สั่ง จนท.ไปทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ภายหลังรัฐบาลมอบนโยบายอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งยังมีลูกหนี้หลายรายออกมาสะท้อนปัญหาว่าเจ้าหนี้ไม่เกรงกลัว ยังบุกทวงถามหนี้อย่างหนัก จนบางรายถึงกับต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ โดยนายอนุทิน กล่าวว่า ยืนยันโครงการดังกล่าว ไม่ได้มาใช้หนี้แทนลูกหนี้ ซึ่งประชาชนที่มาลงทะเบียนต้องเข้าใจ เพราะมี การไปทำความเข้าใจที่ผิด ว่ารัฐบาลจะมาใช้หนี้แทน
“ยืนยันว่าไม่ใช่การใช้หนี้แทน แต่จะไม่ทำให้ผู้ที่อ่อนแอกว่า ต้องถูกรังแก และเจ้าหนี้ต้องถูกรังแกด้วย ดังนั้นอยากให้ดูเป็นกรณีไป ไม่อยากให้หยิบทุกเรื่องมาเป็นประเด็นหมด ตอนนี้เปิดให้ประชาชนมาลงทะเบียน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของมหาดไทย ลงไปตรวจสอบ เพราะยังมีลูกหนี้บางรายไม่กล้ามาลงทะเบียน เพราะกลัวถูกข่มขู่ ซึ่งหากมีก็จะจัดการสร้างความเป็นธรรมให้” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า บางกรณีข้อเท็จจริสื่อมวลชนเขียนมาก็ยังไม่ตรวจสอบ ว่าเป็นไปตามที่กล่าวอ้างมาหรือไม่ ซึ่งบางคนเป็นหนี้ทบต้นทบดอก นำเงินตรงนั้นมาโปะตรงนี้ จนเป็นงูกินหาง เอาเนื้อหมูมาแปะเนื้อช้าง พอถึงรอบก็ไปต่อไม่ได้ จึงเป็นปัญหา เช่นบางกรณีเงินต้นแค่ 15,000 บาท แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเกินเงินต้นไปแล้วก็ต้องไปดู ว่ามีการคิดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็สามารถไกล่เกลี่ยได้ และย้ำว่าเป็นการไกล่เกลี่ย ไม่ใช่การบังคับ ไม่ใช่การเลิกหนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร และนายอำเภอแต่ละพื้นที่ ที่จะต้องไปใช้เทคนิคในการเจรจา โดยเรื่องเจ้าหนี้ลูกหนี้เป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อมีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น รัฐบาลจึงต้องเข้าไปทำให้ถูกต้อง ให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการใช้หนี้แทน
ส่วนที่มีข่าวออกไปว่าให้รอถึงเดือนมีนาคม แล้วรัฐจะออกเงินกู้ให้ลูกหนี้นำไปใช้หนี้นั้น นายอนุทิน ยืนยันว่า เป็นความเข้าใจผิด ฟังข้อมูลไม่ครบ แล้วนำไปทึกทักมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน โดยโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก ผู้ได้รับมอบหมายไปจะต้องไปดำเนินการ ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ถูกต้องต่อไป.-317.-สำนักข่าวไทย