“ชัยธวัช” นำทัพก้าวไกลเดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์ 2 ภารกิจ

ดินแดง 24 ก.ย. – “ชัยธวัช” เดินหน้า 4 ยุทธศาสตร์ 2 ภารกิจ นำทัพ “ก้าวไกล” เร่งขยายฐานสมาชิก ทำงานให้เข้มแข็งขึ้น ย้ำการเมืองหลังจากนี้เป็นการต่อสู้ของการเมืองชนชั้นนำการเลือกตั้ง-การเมืองภาคประชาชน บอกปัญหาการเมืองไทยแก้ไม่ได้ เพราะอนุญาตให้มีการรัฐประหาร ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง มองกลับถ้าโพสต์เฟซบุ๊กแบบที่ผู้มีอำนาจไม่อยากเห็น อาจจะต้องติดคุกเป็นสิบปี หรืออาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต


นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวบนเวทีในกิจกรรม “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ว่า นี่คือประชุมสมาชิกพรรคของพรรคก้าวไกลที่ใหญ่ที่สุดที่ทำมา ซึ่งจะเป็นทิศทางที่สำคัญที่ทำให้พรรคก้าวไกลมีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด

วันนี้ตนมายืนแทน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ตนอยากจะประกาศในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ว่า แม้ว่าหัวหน้าพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนไป แต่ว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลจะไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คนเดิม วันนี้ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ จึงอยากพูดถึงเส้นทางทางการเมืองของพรรคและบทใหม่ของการเมืองไทย


มีหลายคนที่บอกว่า มีการเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการ สู่ระบอบประชาธิปไตย ตนคิดว่า ก็คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเราเห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่เคารพเสียงของประชาชน และปัญหาการเมืองไทย ประการที่ 2 คือ รัฐรวมศูนย์ เป็นระบบปิดกั้นการเมืองไทย เต็มไปด้วยการทุจริต ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งเรื่องการกระจายอำนาจรัฐบาลนี้ คือ การกระจายอำนาจแบบผู้ว่า CEO และเราเห็นทุนผูกขาดแล้ว รวมถึงปัญหาการเมืองเรื่องนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน ที่กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ความเสมอภาคต่อกฎหมายไม่มีอยู่จริง ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มีไว้เพื่อพิทักษ์รักษารับใช้คนบางกลุ่ม ไม่ได้มีเป้าหมายพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของทุกคน และถ้าต้องการความเป็นธรรมในประเทศนี้ อย่าหาความยุติธรรมแบบสากล แต่จงสยบยอม ยอมรับ ในแบบอภิสิทธิ์ชนของไทย เมื่อยอมรับก้มหัว ท่านจะได้ความกรุณาปรานี

“ซึ่งปัญหาเหล่านี้ของการเมืองไทย เราแก้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาการเมืองไทยเป็นการเมืองของชนชั้นนำ ที่อนุญาตให้มีการรัฐประหารได้ตลอดเวลา ถ้าเอารถถังมายึดอำนาจ ไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ถ้าโพสต์เฟซบุ๊กแบบที่ผู้มีอำนาจไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน อาจจะต้องติดคุกเป็นสิบปี หรือไม่ก็อาจจะต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า การเมืองไทยคือการเมืองที่อนุญาตให้ไปเลือกตั้งได้เป็นพักๆ แต่ไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาขน แบบนี้ตนขอเรียกว่า ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นไม้ประดับ’ และการเมืองของชนชั้นนำเป็นการเมืองที่อนุญาตให้แข่งขันกันได้ในระบบการเลือกตั้ง เป็นการแข่งขันกันไปมีอำนาจ และผลัดกันไปแบ่งสันปันส่วนในตำแหน่งและเก้าอี้ แต่การเมืองชนชั้นนำไม่ได้แข่งขันไปเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยแบบเดิมๆ


“หลายคนอาจจะบอกว่า อย่าคิดอะไรมาก เรามาอาศัยเขาอยู่ ดังนั้น จงเชื่อว่าประชาชนไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง จนกว่าเจ้าของบ้านตัวจริงจะอนุญาต” นายชัยธวัช กล่าว

ดังนั้น สิ่งที่ตนอยากจะบอก คือ การพยายามออกจากการเมืองของชนชั้นนำแบบเดิม กลายเป็นโจทย์สำคัญของยุคสมัยที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง มีความพยายามปฏิรูปสังคมไทยครั้งใหญ่ มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การต่อสู้ของชนชั้นนำทางการเมือง 2 กลุ่ม ทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ หลายคนล้มตาย หลายคนถูกดำเนินคดี แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ทำให้เกิดสำนึกใหม่ในหมู่ประชาชน ประชาชนจำนวนมากต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และต้องการให้เกิดการปฏิรูปประเทศ นี่จึงเป็นสำนึกใหม่ที่เกิดขึ้นมา และเมื่อต่อสู้กันมาเกือบ 20 ปี ก็กลับมาจับมือกัน และพวกเขาค้นพบอันตรายจากชนชั้นนำ คือ สำนึกใหม่

ทั้งนี้ ภัยคุกคามการเมืองชนชั้นนำ คือ การเมืองของประชาชน ดังนั้น ตนอยากจะบอกว่า ในสถานการณ์ในปัจจุบัน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการประชาธิปไตย แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านของชนชั้นนำแบบจารีตกับชนชั้นนำแบบเลือกตั้ง เปลี่ยนผ่านการต่อสู้เป็นการเมืองของชนชั้นนำแบบการเลือกตั้ง กับการเมืองของประชาชน และนี่คือรากฐานทางการเมืองของรัฐบาลปัจจุบัน จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองไทยบทใหม่นับจากนี้ต่อไป

นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล อยากจะบอกว่า เป้าหมายสำคัญของพรรคก้าวไกล คือ เราต้องผลักดัน ต้องเปลี่ยนแปลง สิ่งที่การเมืองของชนชั้นนำบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นสิ่งที่สังคมไทยปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป ภายใต้เป้าหมายนี้ พรรคก้าวไกลจะมียุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้าน มีภารกิจเฉพาะหน้า 2 ภารกิจ คือ สร้างพรรคก้าวไกลให้เข้มแข็ง เป็นสถาบันทางการเมืองจริงๆ ให้ได้ และงานในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น จึงอยากเชิญชวนให้ช่วยกันขยายสมาชิกพรรค ช่วยกันขยายการมีส่วนร่วมของประชาชน และช่วยกันปักธงทางความคิด ทำพรรคก้าวไกลให้พร้อมกันเปลี่ยนแปลงเมื่อช่วงของการเปลี่ยนแปลงมาถึง

ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ ฝ่ายค้านในสภาฯ ที่จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ตนในฐานะหัวหน้าพรรคนใหม่ ให้สัญญาว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใครอย่างที่เคยพิสูจน์ ดุดันด้วยเนื้อหา

ยุทธศาสตร์ด้านที่ 3 คือ ฝ่ายค้านเชิงรุก เรื่องนี้ตนขออนุญาตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล มาอธิบาย

ยุทธศาสตร์ที่ 4 คือ ตรึงพื้นที่เก่า รุกพื้นที่ใหม่ พื้นที่ไหนประชาชนให้ความไว้วางใจ ก็จะต้องเร่งทำงานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า เราทำงานไม่เหมือนใคร สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไร นี่คือสิ่งที่ต้องช่วยกันทำ ส่วนพื้นที่ไหนที่ยังไม่ชนะการเลือกตั้ง ก็ขอเชิญชวนให้ทำพรรคให้เข้มแข็งขึ้น และช่วยกันเฟ้นหาสภาผู้แทนราษฎรของทุกคน

โดยหลังจากนี้ พรรคก้าวไกลจะสร้างกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหา ท้องถิ่นทุกระดับ เป้าหมายไม่ใช่การสร้างหัวคะแนนในการเลือกตั้งใหญ่ แต่ต้องการผลักดันการกระจายอำนาจในการรวมศูนย์

และภารกิจสุดท้าย คือ ร่วมกันผลักดันให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน จึงอยากให้ช่วยกันรณรงค์เรียกร้องทำประชามติว่าต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ และ ส.ส.ร. ต้องมาจากประชาชนทั้งหมด

นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า ที่ตนพูดมาทั้งหมด ตนทราบดีว่า หลายคนเสียใจ หลายคนสิ้นหวัง หลายคนเสียน้ำตา เพราะพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งมา แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ตนอยากจะบอกว่า นับจากนี้ขอให้เอาน้ำตา เอาความเสียใจไว้ข้างหลัง และไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจอีกต่อไป วันนี้พวกเราช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงมากขนาดไหน ดังนั้นจึงต้องจับมือสร้างความเปลี่ยนแปลง บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.เรือนจำทักษิณป่วย ไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน  

13 มิ.ย. – ศาลฎีกาฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ “ทักษิณ” เข้ารักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นัดไต่สวนเพิ่มอีก 6 นัด เดือน ก.ค.68 ด้าน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ยอมรับไม่ได้ส่งตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ไต่สวนคดีชั้น 14 ในเรื่องการบังคับคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ล่าสุดการไต่สวนนัดแรกเสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลได้สอบถาม นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพคนปัจจุบัน เกี่ยวกับกระบวนการในการส่งตัวนายทักษิณจากเรือนจำไปโรงพยาบาลตำรวจ ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งนายทักษิณ มีอาการแน่นหน้าอก นอนไม่หลับ พยาบาลเวรตรวจอาการแล้ว ถึงโทรไปหาแพทย์ และมีความเห็นให้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้เข้าไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน และอาการก็ตรงกลับใบส่งตัวที่แพทย์เขียนไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน แต่ก็ยอมรับว่าไม่ได้เข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน จากนั้นศาลได้นัดไต่สวน 6 นัด ในเดือนกรกฎาคม 2568 และใน […]

เครื่องบินแอร์อินเดีย ตกใส่อาคารที่พักแพทย์ ตาย 241 รอดคนเดียว

นิวเดลี 13 มิ.ย. – เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์อินเดีย พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประสบอุบัติเหตุตกใส่อาคารในย่านชุมชนทางตะวันตกของประเทศ มีผู้เสียชีวิต 241 ราย รอดชีวิตปาฏิหาริย์เพียงคนเดียว ยังไม่มีการยืนยันว่ามีคนในอาคารบ้านเรือนเสียชีวิตเท่าไร เครื่องบินลำที่ประสบอุบัติเหตุเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ดรีมไลน์เนอร์ ของสายการบิน แอร์ อินเดีย เที่ยวบิน เอไอ171 (AI171) พร้อมคนบนเครื่อง 242 คน ประกอบด้วยผู้โดยสาร 230 คน และลูกเรือ 12 คน เพิ่งจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานระหว่างประเทศเมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดียเมื่อเวลา 13.34 น. วานนี้ มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานแกตวิค กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ คนบนเครื่องบินเป็นชาวอินเดีย 169 คน และมีพลเมืองอังกฤษ 53 คน โปรตุเกส 7 คน และแคนาดา 1 คน คลิปที่ผู้ใช้งานสื่อออนไลน์ในอินเดียส่งต่อกันแพร่หลาย เผยให้เห็นช่วงเวลาขณะที่เครื่องบินโดยสารลำนี้เครื่องบินค่อยๆ […]

แพทยสภายืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย

กทม. 12 มิ.ย.- แพทยสภามีมติ 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิม เอาผิดแพทย์ 3 ราย ปมส่งตัว “ทักษิณ” รักษาชั้น 14 รพ.ตร. ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เปิดเผยหลังการประชุมการลงมติแพทยสภากว่า 5 ชม. ว่า กรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม การประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 6/2568 ประจำเดือนมิถุนายน คือวันนี้ มีวาระสำคัญคือการพิจารณาหนังสือยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภาจากสภานายกพิเศษ วาระนี้มีคณะกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุมจำนวน 68 คน จากจำนวนแพทยสภาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งสิ้น 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการฯ ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งคณะ ซึ่งมีคะแนนโหวตมากกว่า 60 เสียง ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 กระบวนการต่อไปแพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ คาดว่าคำสั่งจะออกได้ในวันพรุ่งนี้ และจะมีผลการลงโทษหลังจากคำสั่งไปยังผู้ถูกร้องเรียน ทั้งนี้ […]

“ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน

ฉะเชิงเทรา 12 มิ.ย. – “ทีมสุดซอย” ลุยตรวจโรงงานรีไซเคิลทุนจีน จ.ฉะเชิงเทรา พบกองขยะอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนเครื่องยนต์นำเข้ากองเต็มพื้นที่ ฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานฯ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าทีมสุดซอย พร้อมเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด และตำรวจสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลใน อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นการขยายผลจากข้อมูลที่ผู้ใหญ่บ้าน ต.เขาหินซ้อน อ้างว่ามีบริษัทคัดแยกขยะอุตสาหกรรมในพื้นที่ให้นำดินไปแจกฟรี แต่กลับพบว่าเป็นขยะอุตสาหกรรม จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทแห่งนี้จะรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษสายไฟ วัสดุแบตเตอรี่ มอเตอร์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านบริษัทแห่งหนึ่งที่ฮ่องกง โดยบริษัทดังกล่าวรับซื้อเศษขยะมาจากญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ก่อนส่งมาที่โรงงานรีไซเคิลในไทยให้คัดแยก แต่สำแดงเป็นโลหะผสม (Mixed metal) และมีการเสียภาษีต่อเที่ยวตามน้ำหนัก รวมแล้วประมาณ 33,000 บาท การคัดแยกขยะจะใช้แรงงานต่างด้าวคัดแยกเหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดงออก โดยในส่วนของเหล็ก จะส่งโรงเหล็กในประเทศ สำหรับอะลูมิเนียมกับทองแดง จะส่งกลับไปฮ่องกง เพื่อขายต่อ โดยไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากเป็นเศษโลหะ อีกทั้งยังมีกองขยะที่ไม่สามารถนำไปแปรรูปใช้งานต่อได้จำนวนมากถูกทิ้งไว้ในประเทศ โรงงานดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการตั้งแต่ปี 2558 แต่ก่อนหน้านี้พบว่ามีการขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดเก็บวัสดุไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน คือกองอยู่ลานโล่งด้านนอกอาคาร ปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการประกอบกิจการ และการปล่อยน้ำเสีย […]

ข่าวแนะนำ

ประชุม JBC “ไทย-กัมพูชา” ยึด MOU43 แก้ปมชายแดน-ลดตึงเครียด

14 มิ.ย.- “ไทย-กัมพูชา” แถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC เจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกัน และการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบ MOU43 นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย เป็นประธานการประชุมกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) ร่วมกับนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายกล่าวถ้อยแถลงย้ำความสำคัญของการใช้กลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในการเจรจาประเด็นด้านเขตแดนระหว่างกันและการทำงานร่วมกันด้วยสันติวิธี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 43) เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาชายแดนและลดความตึงเครียดที่มีอยู่ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กรมแผนที่ทหาร กองทัพบก กองทัพเรือ สำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา (เทียบเท่ากระทรวง) กระทรวงกลาโหมกัมพูชา กองทัพภาคต่าง ๆ ของกัมพูชา รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาของกัมพูชาทุกจังหวัด -สำนักข่าวไทย

ลุ้นผลประชุม JBC ไทย-กัมพูชา

14 มิ.ย.- ประชาชน 2 ประเทศลุ้นผลการประชุม JBC ด้านกัมพูชายันหากไทยไม่ไปศาลโลก จะยื่นเอกสารไปฝ่ายเดียว นายเปง สุเพีย ผู้สื่อข่าวกัมพูชา รายงานว่าก่อนการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ขณะนี้เป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ผ่านไปกว่า 2 ชม. ยังไม่ออกมา ประชาชนสองประเทศลุ้นผลการประชุม ด้านกัมพูชายันหากไทยไม่ไปศาลโลก จะยื่นเอกสารไปฝ่ายเดียว .-สำนักข่าวไทย

Cambodia and Thailand hold a closed-door meeting ahead of the official meeting of JBC in Phnom Penh

ไทย-กัมพูชา หารือกลุ่มเล็กก่อนประชุม JBC

พนมเปญ 14 มิ.ย. – สื่อกัมพูชารายงานว่า กัมพูชาและไทย ได้เปิดการหารือกลุ่มเล็กฝ่ายละ 5 คน ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี (JBC) ที่กรุงพนมเปญ ในวันนี้ เว็บไซต์แขมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานว่า ในการหารือกลุ่มเล็กที่มีผู้ร่วมเข้าเพียง 10 คน ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายเจีย ฬำ  รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ส่วนฝ่ายไทยนำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศด้านกิจการชายแดน ซึ่งเป็นนักการทูตผู้เชี่ยวชาญช่วงข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร พร้อมกับเผยแพร่ภาพชุดการหารือดังกล่าว.-814.-สำนักข่าวไทย

รวบแล้ว! โจรชิงทองที่ลำพูน หนีกบดานพัทยา

พัทยา 14 มิ.ย.- หนีไม่รอด! รวบโจรบุกเดี่ยวชิงทอง จ.ลำพูน หนีกบดานพัทยา สารภาพติดการพนันออนไลน์ จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เกิดเหตุคนร้ายรูปร่างสูงประมาณ 160-165 ซม. ทราบชื่อต่อมาคือ นายประกร อายุ 47 ปี ขี่รถจักรยานยนต์สีดำ บุกเดี่ยวเข้าไปชิงทองคำรูปพรรณ จากห้างทองฯ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 5 บาท ไปจำนวน 2 เส้น มูลค่ากว่า 500,000 บาท แล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุดตำรวจ สภ.จว.ชลบุรี ได้เบาะแสว่า นายประกร ที่มีหมายจับศาลจังหวัดลำพูน ในข้อหากระทำความผิดฐาน “วิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม” หลังก่อเหตุได้หนีมากบดานในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จึงนำกำลังออกติดตาม กระทั่งพบตัวนายประกร อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านพัทยากลาง เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าจับกุม เจ้าตัวให้การยอมรับ เป็นผู้ก่อเหตุวิ่งราวทองจากห้างทองในพื้นที่จังหวัดลำพูนจริง หลังก่อเหตุได้หนีมายังพื้นที่เมืองพัทยาและนำทองไปขายในห้างทองแห่งหนึ่ง ตอนแรก คิดว่าจะเดินทางเข้ามาตัว แต่ก็สายไปเนื่องจากมาโดนเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้เสียก่อน ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุลงไปนั้นเนื่องจากตนเองติดการพนันออนไลน์ จนเงินหมด […]