กระทรวงการคลัง 14 ก.ย. – “เศรษฐา” ควง “กฤษฎา-จุลพันธ์” เข้ากระทรวงการคลัง สักการะ “ช้างคู่” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนเริ่มทำงาน เตรียมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ภายใน ก.พ.67 ระบุการเมืองร้อนแรง แต่ฟังเสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วน หลังข้าราชการค้านจ่ายเงินเดือน 2 รอบ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้ากระทรวงการคลังครั้งแรก หลังรับตำแหน่งและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเดินทางมาถึงในเวลา 13.00 น. มีปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดี ข้าราชการระดับสูง และข้าราชการ ให้การต้อนรับ
ทันทีที่นายเศรษฐา เดินทางมาถึง ได้สักการะศาลพระพรหม ศาลพระภูมิ พระคลังในพระคลังมหาสมบัติ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระพุทธรูปประจำกระทรวงฯ โดยเฉพาะช้างคู่ ที่เป็นสิ่งศักสิทธิ์สำคัญประจำกระทรวงการคลัง ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทางการเงินของประเทศ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุกคนที่เข้ารับตำแหน่งจะต้องสักการะช้างคู่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเริ่มต้นทำงาน
จากนั้น นายเศรษฐา ได้ร่วมประชุมกับข้าราชการกระทรวงการคลัง พร้อมมอบนโยบาย โดยในช่วงต้นของการประชุม นายเศรษฐา ได้กล่าวแนะนำรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังทั้ง 2 ท่าน รวมถึงนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ในฐานะเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมฝากให้เพื่อนข้าราชการร่วมกันช่วยเหลือและทำงานร่วมกัน
นายเศรษฐา ระบุว่า หน้าที่ของกระทรวงการคลัง คือ ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจ เข้าใจว่าหลายมาตรการมีทั้งคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ
“แต่เป็นที่ประจักษ์ว่า ปัจจุบันนี้การเมืองค่อนข้างร้อนแรง บางนโยบาย เช่น การจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ ซึ่งไม่น่าถูกต่อว่าอะไร ก็ถูกต่อว่า แต่เราต้องรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน” นายเศรษฐา ระบุ
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวอีกว่า การที่เรามีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายนโยบาย ย่อมเป็นที่เพ่งเล็งของสาธารณชนเยอะ แต่ยืนยันว่า การทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ระยะสั้น แต่มีความจำเป็นในระยะยาว ที่บางนโยบายต้องทำทันที ต้องใช้ปริมาณเยอะ คงไม่ต้องบอกว่าเป็นนโยบายอะไร แต่มีนัยคือกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ประชาชนต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก นโยบายนี้จะทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้ ระหว่างที่คอยนโยบายอื่นๆ ที่จะมาเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ให้พี่น้องประชาชน
นายเศรษฐา ยังระบุว่า ตรงนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้น คาดว่าน่าจะทำนโยบายดังกล่าวออกมาได้ภายในไตรมาส 1 หรือเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เป็นอย่างช้า ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงธนาคารรัฐ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังเปิดเผยด้วยว่า ได้มีโอกาสพบปะกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) เพื่อให้ข้อมูลกับรัฐบาลแล้ว และแบงก์ชาติ ก็เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาล เช่น การพักหนี้เกษตรกร.- สำนักข่าวไทย