กรุงเทพฯ 1 มิ.ย.-อดีตตุลาการศาล รธน. ประเมินคดีคุณสมบัติ “พิธา” ถือหุ้นสื่อเป็นไปได้ว่าออกได้ทั้ง 2 ทาง 50:50 ชี้ถ้าตีความตามกฎหมายและเป็นไปที่ปรากฏตามสื่อ ส่อขาดคุณสมบัติ แต่ถ้าตีความตามรัฐศาสตร์อาจรอด
นายสุพจน์ ไข่มุกด์ อดีตรองประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่มีการให้ตรวจสอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล จากการถือครองหุ้นบมจ.ITV จำนวน 42,000 หุ้น ว่าเป็นการกระทำผิดขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือไม่ว่า หากดูตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจะสอดคล้องกันในมาตรา 98 วรรค 3 ที่ห้ามเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ปรากฏตามข่าว ซึ่งไม่ทราบว่าในความเป็นจริงเลิกกิจการแล้วหรือไม่ หรือยังประกอบกิจการอื่นอยู่ หากประกอบกิจการอื่นอยู่ก็ถือว่ายังไม่สิ้นสุด และเข้าลักษณะของการดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในกรณีที่เป็นสื่อมวลชน
นายสุพจน์ กล่าวว่า หากเป็นไปตามนี้ก็ถือว่าเข้าลักษณะต้องห้าม ไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ ประเมินว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกได้ 2 ทางหรือ 50 : 50 โดยออกได้ทั้งทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ซึ่งหากออกทางรัฐศาสตร์ นายพิธาก็น่าจะไม่โดนตัดสิทธิ แต่ต้องมีเหตุผลและคำวินิจฉัยที่หนักแน่นให้ทุกคนยอมรับได้ เพราะไม่ว่าจะออกมาทางใด จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในศาลรัฐธรรมนูญ
“การตีความกฎหมายต้องตีความตามลายลักษณ์อักษรก่อน หากลายลักษณ์อักษรไม่ชัดเจนก็ต้องดูตามเจตนารมณ์ แต่หากนำเรื่องเจตนารมณ์ขึ้นมาก่อนตัวบทกฎหมายคงไม่ถูกต้อง ต้องดูก่อนว่าเขาเขียนชัดไหม กฎหมายถ้าตีความได้หลายทาง เขาถึงไปดูเจตนารมณ์ เราถึงเขียนว่าหยุดมุ่งหมายและความมุ่งหมายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ คดีนี้ต้องจับตาดูว่าระหว่างศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ใครจะมีคำตัดสินมาก่อน หาก กกต.รับรองก่อน ก็จะมีผลอีกทางหนึ่ง หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยก่อนก็จะมีผลในอีกทางหนึ่ง” นายสุพจน์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย