3 เหตุทำไฟแพง 4 แนวทางแก้ไข

พลังประชารัฐ 25 เม.ย. – “พปชร.” ชี้ 3 เหตุปัญหาค่าไฟฟ้าแพง พร้อมเสนอ 4 แนวทางแก้ไขตอบโจทย์อย่างยั่งยืน “ยุติปัญหาไฟฟ้าล้น-ลดใช้ LNG-เพิ่มไฟฟ้าภาคประชาชนเข้าระบบ-ส่งเสริมหลังคาโซลาร์เซลล์ทุกครัวเรือน-ปรับลดค่าเอฟที-ตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติ บริหารอย่างเป็นธรรม


นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค พร้อมด้วยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค แถลงข่าวประเด็น “ปัญหาไฟฟ้าของประเทศไทย” โดย ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวถึงที่มาและปัญหาค่าไฟฟ้าแพงว่า มาจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ 1.การสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น ไฟฟ้าสำรองสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โรงไฟฟ้าแม้ไม่ผลิตไฟ ประชาชนก็ต้องจ่ายเงิน เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย (AP) 2.โรงไฟฟ้าใหม่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง แต่ปัญหาการจัดการแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณในอ่าวไทยของรัฐบาล ทำให้ปริมาณก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน และ 3.การปิดโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ เพื่อเปิดทางให้โรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้ LNG มีราคาแพงเข้ามาในระบบ หากเป็นเอกชนก็ต้องจ่ายค่า AP เป็นก้อนใหญ่ชดเชยให้ ทั้งที่บางแห่งผลิตไฟได้ถูกกว่า

“ขอแจกแจงให้เห็นชัดๆ ถึงปัญหาในแต่ละส่วน ดังนี้ 1.ปัญหาการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น 1.1 ไฟฟ้าสำรองปี 2557 ที่ประยุทธ์ปฏิวัติ 30% ปี 2565 หลังจากประยุทธ์เป็นนายกฯ มา 8 ปี ขึ้นเป็น 70% 1.2 รัฐทำสัญญากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแบบ Take or Pay คือ แม้ไม่ใช้ไฟประชาชนก็ต้องจ่าย เรียกว่า ค่าความพร้อมจ่าย (AP) ทั้งค่าก่อสร้าง ค่าจ้างคน นำมารวมเป็นค่าไฟฐาน รัฐควรจะใช้เงื่อนไขนี้เฉพาะแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เงื่อนไขนี้ผิดพลาดมาหลายรัฐบาล แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไม่แก้ไข” ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว


ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า 2.ปัญหาการจัดการแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณในอ่าวไทย 2.1 การเปลี่ยนสัญญาสัมปทานในแหล่งก๊าซบงกช และเอราวัณเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิต เกิดความผิดพลาดล่าช้า ทำให้ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน ส่งผลกระทบต่อค่าไฟโดยตรง 2.2 กำหนดเงื่อนให้บริษัทผูกขาดท่อก๊าซกลางอ่าวไทยเป็นผู้ได้สิทธิรับซื้อก๊าซของชาติที่ปากหลุมผลิตแต่ผู้เดียวเพื่อบวกกำไรแล้วจึงขายให้ กฟผ. ทั้งที่บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในตลาดหลักทรพย์ที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย ดังนั้น ควรจัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติเพื่อเป็นผู้ใช้สิทธิรับซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยแต่ผู้เดียวเพื่อขายก๊าซถูกให้ กฟผ.

“3.เลือกซื้อไฟที่ต้นทุนแพงโดยไม่จำเป็น 3.1 กฟผ. เข้าไปรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนแพงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ. อย่างมาก ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น เพราะใกล้เลือกตั้งจึงไม่กล้าขึ้นค่าไฟ จึงให้ กฟผ. แบกรับค่าไฟที่สูงขึ้นแทนประชาชนไปก่อนแล้วมาเรียกเก็บจากประชาชนผ่านค่า ft ในภายหลัง ขณะนี้ กฟผ. มีหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดอยู่ในระดับ 150,000 ล้านบาท 3.2 รัฐบาลประยุทธ์ควรจะสั่งให้ กฟผ. เลิกซื้อไฟที่ต้นทุนแพงจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิง เปลี่ยนไปรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประชาชนแทน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลงมาก” ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว

ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า อีกหนึ่งสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้ค่าไฟฟ้าของประเทศแพง เนื่องจากปัจจุบันการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงของรัฐบาลไม่ได้แก้แบบบูรณาการ และยังเป็นการแก้ไม่ตรงจุด ขณะที่แนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าของนายกฯ ประยุทธ์ ในปัจจุบัน เป็นการแก้ไขแบบเอื้อต่อนายทุนมากกว่าการมองผลประโยชน์ของประชาชนอย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาสะสมอย่างต่อเนื่องกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ซึ่งตนจะขอชี้ให้เห็นปัญหาและความล้มเหลว ดังนี้ 1.กำหนดราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า ดังนั้น การกำหนดเพดานราคาค่าไฟฟ้าให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือเกษตรกร ก็ย่อมจะต้องควักกระเป๋าออกมาจากฝ่ายรัฐเท่านั้น จึงเป็นนโยบายที่เน้นการปกป้องผลกำไรของนายทุนพลังงานเป็นหลัก


นายธีระชัย กล่าวว่า 2.ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านสำหรับผลิตไฟฟ้า และขายเข้าระบบเพื่อสร้างรายได้ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง เพราะการติดตั้งบังคับให้ต้องขออนุญาตถึงสามหน่วยงาน มีการกำหนดปริมาณที่จะรับซื้อไฟฟ้าแบบนี้ไว้จำกัดมาก และรับซื้อในราคา 2.20 บาทต่อหน่วย ต่ำกว่าราคาที่ครัวเรือนซื้อไฟฟ้าจากรัฐบาลมาก

“รัฐบาลประยุทธ์ไม่ได้ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่ารัฐบาลได้เปิดให้มีการประมูลไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้เอกชนรายใหญ่อีกถึง 3,660 เมกะวัตต์ ทั้งที่ควรรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ประชาชน” นายธีระชัย กล่าว

นายธีระชัย ยังตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลกรณีที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นรัฐบาลรักษาการอนุมัติผลการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จำนวน 175 ราย 5,203 เมกะวัตต์ ในรูปแบบ Feed-in Tariff ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ.2565 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งตนมีข้อสงสัยต่อกรณีดังกล่าว คือ 1.การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่รัฐบาลรักษาการพึงกระทำหรือไม่ 2.เป็นการประมูลที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาไม่ถือเป็นการประมูลแต่เป็นการคัดเลือกจากรายชื่อที่ยื่นเข้ามา และ 3.เป็นการทิ้งทวนเพื่อเอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ ซึ่งตนมีความเห็นว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการและนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรักษาการ จะต้องมีคำตอบให้กับประชาชน

ขณะที่นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล พรรคมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงแบบบูรณาการและตอบโจทย์ ซึ่งพรรคมองว่าแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องดำเนินการให้ครอบคลุม 4 แนวทาง เพื่อให้เป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน ได้แก่ 1.ยุติปัญหาโรงไฟฟ้าล้นเกิน 1.1 ไม่ทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ทุกรายจนกว่าไฟฟ้าสำรองอยู่ในระดับ 15% 1.2 ตรวจสอบการประมูลที่ผ่านมาว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เช่น การล็อกสเปกในการประมูล เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน 2.ลดการใช้ LNG เพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า 2.1 เร่งกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยเฉพาะแหล่งบงกชและเอราวัณ ให้กลับมาเป็นปกติ จะช่วยลดการนำเข้า LNG ได้ 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 70%

“2.2 เจรจาขอยืมก๊าซในแหล่งพัฒนาร่วมไทย มาเลเซีย ที่แบ่งกันคนละครึ่ง ให้ไทยเป็นผู้ใช้ก๊าซเป็นเวลา 1-2 ปี ในช่วงปรับโครงสร้างพลังงานไทยทั้งระบบ ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้ 20-30% 2.4 ห้ามมิให้ กฟผ. รับซื้อไฟจากเอกชนในราคาสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ. บวกอีก 10% โดยโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซ LNG เป็นเชื้อเพลิงโดยจะได้รับเพียงเงินค่าความพร้อมจ่ายเท่านั้น โดยให้ กฟผ. ซื้อจากแหล่งที่มีราคาถูก เช่น โรงไฟฟ้าจากชุมชนและโซลาร์ประชาชนที่มีราคาถูกกว่าแทน 2.5 จัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติที่รัฐถือหุ้น 100% ทำหน้าที่จัดการแหล่งก๊าซในอ่าวไทยที่จะทยอยหมดอายุสัมปทาน และต้องตกเป็นของรัฐ โดยให้องค์กรเป็นผู้ทรงสิทธิซื้อก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยแต่ผู้เดียว และเป็นผู้จัดสรรสิทธิการใช้ก๊าซราคาถูกจากอ่าวไทย โดยกำหนดราคาขายเป็นขั้นบันได ราคาต่ำสุดจะให้สิทธิแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการผลิตก๊าซหุงต้มสำหรับประชาชน ราคาบันไดขึ้นต่อไปหากมีก๊าซเหลือจึงจะให้สิทธิแก่ภาคธุรกิจทั้งปิโตรเคมี และการผลิตไฟฟ้าของเอกชน” นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า 3.เพิ่มไฟฟ้าภาคประชาชนเข้ามาในระบบแทนโรงไฟฟ้าที่ใช้ LNG 3.1 สนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านอย่างแท้จริง โดยให้ครัวเรือนขายไฟฟ้าได้ในราคาเดียวกันกับราคาที่ซื้อไฟฟ้า ตามหลักของการหักกลบลบหน่วย Net Metering ค่าไฟต่ำสุดเหลือ 0 บาท 3.2 ให้ อบต. และเทศบาล ร่วมกับ กฟผ. กฟภ. หรือเอกชน ทำโซลาร์ฟาร์ม โดยผลกำไรส่วนหนึ่งเป็นของ อบต. และอีกไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งจะนำมาเฉลี่ยให้กับครัวเรือนแต่ละหลังเพื่อหักออกจากค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ ช่วยลดผลกระทบจากค่าไฟที่สูงขึ้น 3.3 ให้กระทรวงการคลังประสานกับธนาคารของรัฐเพื่อให้เป็นผู้ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านและโครงการโซลาร์ชุมชน

“4.ยุติปัญหาค่า ft แพง 4.1 การปรับลดค่า ft ให้นำหนี้สินของ กฟผ. ที่จะเรียกเก็บผ่านค่า ft มาออกเป็นพันธบัตร “ไฟฟ้าประชารัฐ” อายุ 5-15 ปี จะทำให้ภาระหนี้สินที่ต้องเรียกจากประชาชนลดลงจาก 1.5 แสนล้านบาท เหลือปีละ 1.5 หมื่นล้าน โดยค่า ft ในส่วนหนี้สินนี้จะเหลือต่ำกว่า 10 สตางค์ โดยรักษาให้ ft รวมอยู่ในระดับ 25 สตางค์ แต่มีเพดานไม่เกิน 50 สตางค์ ในภาวะที่ราคาเชื้อเพลิงผันผวน ซึ่งลดลงจากเป้าหมายที่ กฟผ. เสนอค่า ft ในเดือน พ.ค.66 ที่ 293.60 สตางค์ โดยจะต้องทำพร้อมปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าข้างต้นเพื่อไม่ให้หนี้สินกลับมาเป็นภาระอีก” นายสนธิรัตน์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]