ซูเปอร์โพล คาด พท. คว้า ส.ส. เขตมากที่สุด – ภท. อันดับสอง

กรุงเทพฯ 16 เม.ย. – ซูเปอร์โพล เผยคนส่วนใหญ่ร้อยละ 70.5 บอกไปเลือกตั้ง ส.ส. ขณะที่ร้อยละ 29.5 จะไม่ไปเลือกตั้ง คาด “เพื่อไทย” คว้า ส.ส. เขตแลนสไลด์ในภาคอีสาน 78 คน และภาคเหนือ 24 คน “ภท.” คาดได้ ส.ส.เขตมาอันดับสอง 101 คน มากสุดภาคตะวันตก 10 ที่นั่ง แถมเจาะไข่แดง กทม. สำเร็จ 8 ที่นั่ง ปชป. ได้ภาคใต้ 28 ที่นั่ง ส่วน พปชร. คาดได้ 53 คน ด้านรทสช. คาดได้ ส.ส.เขต 35 คน กทม.ได้ 1 คน-ภาคใต้ 9 คน


เมื่อวันที่ 16 เม.ย.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลการศึกษาต่อเนื่อง เรื่อง “โพล เลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 4 : ข้อมูลพื้นฐานการปกครองท้องที่ (ภูมิภาค)” กรณีศึกษาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 400 เขตเลือกตั้งและผลการประมาณการจำนวน 100 ที่นั่งผู้แทนราษฎรหรือ ส.ส. ในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 53,094,778 คนทั่วประเทศรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง ดำเนินโครงการศึกษาจำนวนตัวอย่าง 6,990 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5 – 15 เมษายน พ.ศ.2566 โดยเมื่อพิจารณาความตั้งใจจะไปเลือกตั้งของประชาชนพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.5 หรือประมาณการจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมทั้งสิ้น 37,431,819 คน จะไปเลือกตั้ง ในขณะที่ร้อยละ 29.5 หรือ ประมาณการจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมทั้งสิ้น 15,662,959 คน จะไม่ไปเลือกตั้ง

ที่น่าสนใจคือ ผลการศึกษาความเป็นไปได้ของจำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตเลือกตั้งจำนวน 400 ที่นั่ง จำแนกตามข้อมูลพื้นฐานการปกครองท้องที่ที่เป็นกลุ่มจังหวัดในแต่ละภูมิภาค พบอย่างชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยมีความเป็นไปได้ที่จะได้จำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตเลือกตั้งแบบแลนสไลด์ในภาคอีสานและภาคเหนือ โดยมีความเป็นไปได้ว่าจะได้ 133 ที่นั่งหรือร้อยละ 33.3 ของจำนวนทั้งหมดทั่วประเทศ พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.เขตจำนวน 24 ที่นั่งหรือร้อยละ 64.9 ของจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมดในภาคเหนือและในอีสาน พรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 78 ที่นั่ง หรือร้อยละ 58.6 ของจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมดในภาคอีสาน แต่พบว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่ได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเลยในภาคใต้ในการศึกษาครั้งนี้


อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่า พรรคเพื่อไทย ได้ 8 ที่นั่งหรือร้อยละ 24.2 ในกรุงเทพมหานคร ได้ 18 ที่นั่งหรือร้อยละ 20.2 ในภาคกลาง พรรคเพื่อไทยยังได้ 4 ที่นั่งหรือร้อยละ 13.8 ในตะวันออก และ 1 ที่นั่งหรือร้อยละ 5.0 ในภาคตะวันตก ที่น่าพิจารณาคือ พรรคภูมิใจไทย ที่ได้จำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตเลือกตั้งมาเป็นอันดับสอง คือ 101 ที่นั่งทั่วประเทศหรือร้อยละ 25.3 ของจำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตเลือกตั้งทั้งหมด โดยภาพของจำนวนที่นั่ง ส.ส. กระจายไปในทุกกลุ่มจังหวัดของแต่ละภาค โดย พรรคภูมิใจไทย ได้ ส.ส.เขตเลือกตั้ง มากที่สุด ในภาคตะวันตก จำนวน 10 ที่นั่งหรือร้อยละ 50 ส่วนที่เหลือกระจายแทรกเข้าไปแต่ละภูมิภาคจำนวนมาก ได้แก่ ภาคเหนือ จำนวน 5 ที่นั่งหรือร้อยละ 13.5 กรุงเทพมหานคร จำนวน 8 ที่นั่ง หรือ ร้อยละ 24.2 อีสานจำนวน 36 ที่นั่งหรือร้อยละ 27.1 กลางจำนวน 26 ที่นั่ง หรือร้อยละ 29.2 ภาคตะวันออก จำนวน 6 ที่นั่งหรือร้อยละ 20.7 และภาคใต้จำนวน 10 ที่นั่งหรือร้อยละ 16.9 ในการศึกษาครั้งนี้

ในขณะที่ พรรคพลังประชารัฐ กลับขึ้นมาเป็นอันดับสามจำนวน ส.ส.เขต 53 ที่นั่งหรือร้อยละ 13.3 ของจำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตเลือกตั้งทั้งหมดทั่วประเทศ โดยกระจายไปแต่ละกลุ่มจังหวัดของภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือจำนวน 6 ที่นั่งหรือร้อยละ 16.2 กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 ที่นั่งหรือร้อยละ 6.1 อีสาน จำนวน 10 ที่นั่งหรือร้อยละ 7.5 ภาคกลางจำนวน 17 ที่นั่งหรือร้อยละ 19.1 ตะวันออกจำนวน 8 ที่นั่งหรือร้อยละ 27.6 ตะวันตกจำนวน 3 ที่นั่งหรือร้อยละ 15.0 และภาคใต้ จำนวน 7 ที่นั่งหรือร้อยละ 11.9

ผลการศึกษาพบด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์ ตามมาอันดับที่สี่จำนวน ส.ส.เขต 44 ที่นั่งหรือร้อยละ 11.0 ของจำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตเลือกตั้งทั้งหมดทั่วประเทศ โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เขตเลือกตั้ง จำนวน 1 ที่นั่งหรือร้อยละ 2.7 ในภาคเหนือ ได้ 3 ที่นั่งหรือร้อยละ 9.1 ในกรุงเทพมหานคร ได้ 2 ที่นั่งหรือร้อยละ 1.5 ในอีสาน ได้ 1 ที่นั่งหรือร้อยละ 1.1 ในภาคกลาง ได้ 7 ที่นั่งหรือร้อยละ 24.1 ในภาคตะวันออก ได้ 2 ที่นั่งหรือร้อยละ 10.0 ในภาคตะวันตก และ ได้ 28 ที่นั่งหรือร้อยละ 47.5 ในภาคใต้ที่อาจกล่าวได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ แลนด์สไลด์ในภาคใต้แบบยกจังหวัดก็เป็นไปได้ในการศึกษาครั้งนี้


นอกจากนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อันดับห้าจำนวน ส.ส.เขต 35 ที่นั่งหรือร้อยละ 8.8 ของจำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตเลือกตั้งทั้งหมดทั่วประเทศ โดยพรรครวมไทยสร้างชาติมีความเป็นไปได้จะได้ ส.ส.เขตเลือกตั้งจำนวน 1 ที่นั่งหรือร้อยละ 2.7 ในภาคเหนือ และได้ 6 ที่นั่งหรือร้อยละ 18.2 ในกรุงเทพมหานคร ได้ 1 ที่นั่งหรือร้อยละ 0.8 ในอีสาน ได้ 13 ที่นั่งหรือร้อยละ 14.6 ในภาคกลาง ได้ 2 ที่นั่งหรือร้อยละ 6.9 ในภาคตะวันออก ได้ 3 ที่นั่งหรือร้อยละ 15.0 ในภาคตะวันตกและได้ 9 ที่นั่งหรือร้อยละ 15.3 ในภาคใต้

ในขณะที่ พรรคก้าวไกล ได้อันดับที่หก จำนวน ส.ส.เขต 10 ที่นั่งหรือร้อยละ 2.5 ของจำนวนที่นั่ง ส.ส.เขตเลือกตั้งทั้งหมดทั่วประเทศโดยในการศึกษาครั้งนี้พบว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้ ส.ส.เขตเลยในภาคเหนือ ได้ 1 ที่นั่งหรือร้อยละ 3.0 ในกรุงเทพมหานคร ได้ 2 ที่นั่งหรือร้อยละ 1.5 ในอีสาน ได้ 5 ที่นั่งหรือร้อยละ 5.6 ในภาคกลาง ได้ 2 ที่นั่งหรือร้อยละ 6.9 ในภาคตะวันออก ในขณะที่ไม่พบเลยในภาคตะวันตกและภาคใต้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผยเหนือ-อีสาน-ตอ.-ใต้ตะวันตก ฝนฟ้าคะนอง

กรุงเทพฯ 14 ส.ค. – กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณ จ.บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ขอให้ประชาชน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดบึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาว และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร […]

EOD ลุยค้นหาจรวด หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง

13 ส.ค. – EOD ลุยค้นหา-เก็บกู้จรวดในพื้นที่บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง ขณะที่คณะ ICRC ลงพื้นที่เก็บข้อมูลผลกระทบเหตุปะทะ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด EOD ลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ยางพาราของชาวบ้านและอีกหลายจุด ในเขต ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบหลุมต้องสงสัยอยู่ในที่ดินของตัวเอง จากการตรวจสอบพบสะเก็ดระเบิด และอีกหลายจุดพบเป็นหลุมคล้ายหลุมจรวด BM21 ที่ตกลงมา เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และต้องใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ชาวบ้านที่เพิ่งเข้ามาอยู่บ้าน ยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์ โดยเฉพาะหลังมีทหารเหยียบทุ่นระเบิดเป็นรายที่ 5 EOD เร่งตรวจสอบ–กู้ระเบิดกระสุนปืนใหญ่ชายแดน ส่วนที่ศรีสะเกษเจ้าหน้าที่ EOD สนธิกำลัง ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีพบกระสุนปืนใหญ่ตกในเขต ต.เสาธงชัย และ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน เบื้องต้นพบ 7 จุด บริเวณสวนยางพาราและใกล้เขตชุมชน โดยส่วนใหญ่เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตร เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดตรวจพิสูจน์ พบว่าหลายลูกระเบิดไปแล้ว เหลือเพียงเศษซาก และยังพบอีก 1 จุดในพื้น […]

อึ้งพระอยู่กับสีกา เปิดบนรถเจอกองทิชชูใช้แล้ว

สกลนคร 13 ส.ค. – วงการผ้าเหลืองฉาวอีก ตำรวจตรวจรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง พบพระกับสีกาอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 คุยไปคุยมา สุดท้ายไปจบที่ลาสิกขา หลังตำรวจ สภ.ขมิ้น จ.สกลนคร ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน พบรถเก๋งต้องสงสัยสีดำ จอดผิดปกติบริเวณ ริมคลอง บ.พาน ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อเข้าไปตรวจสอบ ตำรวจต้องอึ้ง เมื่อเจอพระอยู่กับสีกา 2 ต่อ 2 ในรถ ต่อมาทราบว่า คือ พระชัยณรงค์ อายุ 53 ปี สังกัด วัดแห่งหนึ่ง อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ จึงเชิญตัวไปยังวัดใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพื่อทำพิธีลาสิกขา และนำตัวมาตรวจปัสสาวะ ผลไม่พบสารเสพติด แต่รถที่พระเเละสีกาดังกล่าวอยู่ด้วยกัน พบเป็นรถที่ถูกสวมทะเบียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบ คืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง สภ.ขมิ้น พบรถเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณสถานที่เก็บของกลาง กระจกด้านข้างและด้านหลังติดฟิล์มดำสนิท แต่ด้านหน้าฟิล์มใสมองเห็นถึงภายใน ที่เบาะนั่งข้างคนขับ ยังพบกองจีวรของทิดชัยณรงค์ […]

สถานการณ์ชายแดนสุ่มเสี่ยงปะทะรอบ 2

สุรินทร์ 13 ส.ค. – กระแสข่าวจากหลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่าระยะ 2 วันนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเพิ่มความตึงเครียด สุ่มเสี่ยงที่จะมีการปะทะรอบ 2 ฝ่ายปกครอง จ.สุรินทร์ จึงแจ้งเตือนไปยังกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ให้ลูกบ้านเตรียมพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉิน ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ ในหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือน พบว่า หลายครอบครัวเพิ่งกลับเข้าพื้นที่ 1-2 วัน หลังอพยพหนีภัยการสู้รบในห้วงวันที่ 24 – 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ได้รับข่าวไม่สู้ดีนัก เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แจ้งให้เตรียมความพร้อม เก็บสัมภาระไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงการปะทะ รอบ 2 ซึ่งอาจรุนแรงมากกว่ารอบแรก ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตื่นตระหนก ต้องการอพยพไปอยู่นอกพื้นที่ แต่เมื่อผู้นำหมู่บ้านทำความเข้าใจ ก็คลายความกังวลลงบ้าง โดยสื่อสารข้อความจากนายอำเภอพนมดงรักว่า รอให้มีเสียงปะทะกันเกิดขึ้นก่อน จึงให้อพยพ ซึ่งชาวบ้านก็เชื่อฟัง เพราะส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะอพยพไปที่ไหน เพราะยังไม่มีการเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว ขณะที่หญิงคนหนึ่งติดอยู่ในพื้นที่สู้รบ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือนตลอดห้าวัน เพราะเป็นห่วงวัวที่เลี้ยงไว้ จึงอาศัยอยู่ในกระต๊อบพร้อมญาติรวมสี่คน และประเมินสถานการณ์ว่า น่าจะปลอดภัย เพราะวิถีกระสุนไปตกไกลกว่า จึงได้ยินเสียงปะทะอย่างชัดเจน […]