ทำเนียบ 21 มี.ค.- โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการแก้ไขปัญหาสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 เบื้องต้นจากการตรวจสอบยังไม่พบการฟุ้งกระจายในอากาศ อาคาร และยังไม่มีประชาชนเจ็บป่วยจากการได้รับสารกัมมันตรังสี
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (21 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ไปบูรณาการแก้ไขปัญหา และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ได้ประชุมและสรุปรายละเอียดหลายส่วนเรื่องการสูญหายของวัสดุกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 สูญหายจากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือวัดทางรังสีในพื้นที่เกิดเหตุ ร่วมกับสถานประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดมค้นหากว่า 1 สัปดาห์ จนเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ตรวจพบวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียมในโรงงานหลอมเหล็กแห่งหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี โดยพบเขม่าหรือฝุ่นแดงปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี แต่ไม่พบวัสดุกัมมันรังสีซีเซียมที่เป็นแท่งต้นเหตุที่สูญหาย รวมทั้งไม่พบเหล็กที่หลอมไปแล้ว มีการปนเปื้อน จึงได้เก็บตัวอย่าง ทั้งน้ำ ดิน บริเวณโรงงานโดยรอบมาวิเคราะห์ ยังไม่พบว่าปนเปื้อน และจากการตรวจวัดรังสี ก็ไม่พบการฟุ้งกระจายในอากาศและอาคาร รวมถึงไม่มีการปนเปื้อนออกมาภายนอก ขณะนี้สารกัมมันตรังสีซีเซียม ถูกบรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก ซึ่งถูกควบคุมและจำกัดพื้นที่แล้ว นอกจากนี้ ยังได้เข้าไปตรวจสอบสุขภาพประชาชน พนักงานภายในโรงงานกว่า 70 คน ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เพื่อตรวจหาสารกัมมันตรังสีตามวิธีมาตรฐาน ผลการตรวจสอบยังไม่พบประชาชนหรือพนักงานมีอาการสุ่มเสี่ยง หรือเจ็บป่วยจากการได้รับสารกัมมันตรังสี
ขณะเดียวกัน สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ รายงานว่า ประเทศไทยมีจุดตรวจวัดกัมมันตรังสีในอากาศ 18 จุด และในน้ำอีก 5 จุดทั่วประเทศ ได้ตรวจวัดทุกวันตามมาตรฐานสากล พบว่ายังอยู่ในระดับปกติ ไม่มีสารปนเปื้อนของซีเซียมในสิ่งแวดล้อม ส่วนสาเหตุของสารดังกล่าวได้มีการนำออกจากพื้นที่ ให้หน่วยงานต่างๆ บูรณาการแก้ไขปัญหา และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับนโยบาย พร้อมจัดส่งชุดเฉพาะกิจร่วมกับตำรวจพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น.-สำนักข่าวไทย