สำนักงาน ป.ป.ช. 15 มี.ค. – ป.ป.ช. แจงกรณี “สุชาติ” ถูกร้องขาดคุณสมบัติ ระบุก่อนนั่งกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านกระบวนการตรวจสอบเข้มข้น ได้รับแต่งตั้งถูกต้องตามกฎหมาย แจงได้รับผิดชอบคดีการเมือง มาจากการหมุนเวียนอำนาจพิจารณาสำนวน-ไต่สวน ของคณะกรรมการทั้งคณะ ไม่ใช่กำกับดูแลคนเดียว
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ชี้แจงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ป.ป.ช. ในประเด็นขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. และการดูแลรับผิดชอบคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อช่วยเคลียร์คดี ว่า การสรรหากรรมการ ป.ป.ช. ได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกาเป็นประธานกรรมการสรรหา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานศาลปกครองสูงสุด และผู้ทรงคุณวุฒิอื่น ทำหน้าที่สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีกระบวนการในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. อย่างเข้มข้น จากนั้นผู้ได้รับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. อันเป็นการผ่านกระบวนการขั้นตอนการรับตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. อย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
ส่วนการดูแลรับผิดชอบคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อช่วยเหลือคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น นายนิวัติไชย ชี้แจงว่า ในการแบ่งหน้าที่และอำนาจให้กรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคนกำกับดูแลสำนักต่าง ๆ ในสำนักงาน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะใช้วิธีการสุ่มเลือกเพื่อมอบหมาย โดยประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. แต่ละคนจะไม่ได้เป็นผู้เลือกเอง และจะมีการสลับหมุนเวียนกันทำหน้าที่เมื่อครบระยะเวลาหนึ่ง ประมาณ 1-2 ปี ซึ่งนายสุชาติ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้กำกับดูแลสำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 นับเป็นเวลาเพียง 1 ปีเศษ อีกทั้งในการพิจารณาสำนวน หรือคดีต่างๆ นั้น การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีมติเพื่อมีความเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
ส่วนการพิจารณาสำนวนในชั้นตรวจสอบ โดยเฉพาะเรื่องกล่าวหาร้องเรียนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะในการพิจารณา ไม่ใช่อำนาจของกรรมการ ป.ป.ช. ที่กำกับดูแลเพียงคนเดียวที่จะรับเรื่อง หรือไม่รับเรื่องกล่าวหาไว้ดำเนินการ สำหรับกรณีการมีมติให้ไต่สวนบุคคลใด ก็เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะที่จะพิจารณา มิใช่อำนาจของกรรมการ ป.ป.ช. ที่กำกับดูแลเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย