รทสช. ชู 5 นโยบายโดนใจ เตรียมเปิดนโยบายชุดใหญ่ เม.ย.นี้

กทม. 11 มี.ค.-รทสช. คิกออฟแคมเปญหาเสียง “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ชู 5 นโยบายโดนใจ เพิ่มสิทธิบัตรสวัสดิการพลัส ตั้งกองทุนฉุกเฉินประชาชน คืนเงินสะสมชราภาพ ปลดหนี้ด้วยงาน รื้อกฎหมายไม่เป็นธรรม เตรียมเปิดนโยบายชุดใหญ่ ต้นเมษายนนี้

วันที่ 11 มีนาคม 2566 ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยนโยบายหาเสียงภายใต้เคมเปญ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ตามยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคว่า นโยบายภายใต้เคมเปญนี้ถือเป็นความตั้งใจของพรรคที่จะสานต่อโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งปรากฏผลชัดเจนว่าทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถช่วยให้ประชาชนคลายความเดือดร้อนในช่วงวิกฤตไปได้


นายพีระพันธุ์ ระบุว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะสานงาน “ทำต่อ” ตามยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนอีกหลายโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย เพราะความเดือดร้อนของประชาชนไม่สามารถรอได้ ทางพรรคจึงได้นำร่องหาเสียงด้วย 5 นโยบายโดนใจ ที่พร้อมช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ลดภาระหนี้ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ชีวิต และขจัดปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้

  1. เพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ เป็น 1000 บาท/เดือน และ สิทธิเบิกฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน
  2. ตั้ง ‘กองทุนฉุกเฉินประชาชน’ วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท
  3. คืน 30% เงินสะสมชราภาพ ให้ผู้ประกันตน ตามมาตรา 33
  4. โครงการ ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’
  5. รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชน และเป็นอุปสรรคการทำกิน

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงนโยบายการเพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ ว่า นโยบายนี้เป็นโครงการ “ทำต่อ” จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอยู่แล้ว โดยให้สิทธิเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจัดสรรจากเงินงบประมาณที่รองรับโครงการนี้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ผู้ถือบัตรยังมีสิทธิกู้ฉุกเฉินในวงเงิน 10,000 บาทต่อคน โดยสามารถนำบัตรนี้ไปเป็นหลักประกันเงินกู้กับธนาคารออมสินซึ่งมีโครงการให้สินเชื่อรายย่อยในวงเงิน 10,000 บาทอยู่แล้ว


“บัตรนี้มีความน่าเชื่อถือ เพราะรัฐบาลเป็นคนจ่ายเงิน สามารถใช้เป็นหลักประกันอะไรก็ได้ ขณะที่ทางธนาคารออมสินก็มีโครงการให้เงินกู้แก่ชาวบ้านรายย่อยในวงเงิน 10,000 บาทอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาแทบจะไม่ค่อยได้ปล่อยกู้ เพราะคนที่มาขอกู้ซึ่งเป็นชาวบ้านระดับฐานรากไม่ค่อยมีหลักประกัน กลายเป็นว่ามีโครงการให้ มีวงเงินให้ แต่ปล่อยกู้ไม่ได้ ก็สามารถใช้บัตรนี้ซึ่งเป็นบัตรที่รัฐจ่ายเงินแน่นอนทุกเดือนอยู่แล้ว ไปเป็นหลักประกันเงินกู้ให้กับธนาคารออมสิน โดยสามารถหักคืนเงินกู้จากบัญชีของผู้กู้ได้เลย ทำให้บัตรใบเดียวสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง” นายพีระพันธุ์กล่าว

ในด้านนโยบายเกี่ยวกับ “กองทุนฉุกเฉินประชาชน” นั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า กองทุนนี้จะช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจำนวนมากที่มีความจำเป็นและต้องการเงินฉุกเฉินไปใช้จ่าย โดยวงเงินงบประมาณสำหรับกองทุนนี้จะมาจากการนำกองทุนที่มีอยู่แล้วประมาณ 30 กว่ากองทุน ซึ่งหลายกองทุนไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร มาจัดระบบใหม่และตั้งเป็นกองทุนฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนกู้ยืมไปใช้ในกิจการหรือการทำมาหากินที่ประสบปัญหา โดยคาดว่าจะรวบรวมวงเงินได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ หลักเกณฑ์การขอกู้ยืมจากกองทุนฉุกเฉินประชาชนก็จะมีความผ่อนคลายมากกว่าเงื่อนไขของสถาบันการเงิน ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านระดับล่างที่ไม่สามารถดำเนินการตามกฎเกณฑ์หรือระเบียบของสถาบันการเงิน ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น


ขณะเดียวกัน กลุ่มแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หากประสบปัญหาเดือดร้อนหรือต้องการเงินฉุกเฉิน ก็สามารถเบิกเงินสะสมชราภาพมาใช้ก่อนได้ 30% โดยไม่ต้องรอครบกำหนดอายุ ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถมีเงินทุนหมุนเวียนใช้สอยจากเงินสะสมของตัวเอง

สำหรับนโยบาย “ปลดหนี้ด้วยงาน” นั้น หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าวว่า ปัจจุบัน มีคนจำนวนมากที่มีหนี้สินและไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ แต่พวกเขาเหล่านั้นยังมีพลังความสามารถที่จะทำงานได้ ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็ต้องการคนที่จะมาดูแลปัญหาหลายเรื่อง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง คนสูงอายุ คนด้อยโอกาส หรือกระทั่งการสอนหนังสือเด็กๆ และเมื่อคนที่มีความสามารถเหล่านี้มีปัญหาด้านหนี้สิน ก็สามารถใช้หนี้แทนด้วยการทำงานได้

“ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและยังถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือ กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือ กยศ. ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า ยกหนี้ไปเลย แต่อีกฝ่ายก็บอกว่า ยกไม่ได้เพราะเป็นเงินหลวง ซึ่งก็มีประเด็นทั้งสองฝั่ง แต่เราต้องมาดูข้อเท็จจริงว่า โครงการนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการให้คนไทยมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา เพื่อนำความรู้มาพัฒนาบ้านเมือง ดูแลสังคม ดูแลครอบครัวต่อไป เมื่อเขาเรียนไปแล้ว ก็ต้องใช้หนี้คืนเงินหลวง แต่ชีวิตคนไม่เหมือนกัน บางคนอยากใช้หนี้คืน แต่เขาไม่มีงานทำ บางคนมีงานทำ แต่มีภาระครอบครัวมาก ไม่สามารถแบ่งเงินมาใช้หนี้ได้ ส่วนอีกประเภทคือตั้งใจโกงซึ่งพวกนี้ต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด คนที่เป็นหนี้ กยศ. จึงไม่ได้เหมือนกันหมด จะบอกให้คืนหมด หรือยกให้หมดก็ไม่ได้ บางกลุ่มก็ต้องเห็นใจเขา พวกเขาไม่ได้ตั้งใจโกง แต่พวกเขาไม่มีเงินจ่าย เพราะไม่มีงาน หรือมีภาระครอบครัวมาก การไปฟ้องร้องก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากกระดาษแผ่นเดียวว่า คุณชนะคดีความแล้ว เราควรเอาความรู้ความสามารถของเขามาช่วยกันพัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม เช่น คุณเรียนกฎหมายมา คุณต้องเอาวิชาคุณไปสอนหนังสือเด็ก หักหนี้กันไป รัฐก็ได้ประโยชน์ ไปดูแลสังคม ชุมชน หมู่บ้าน ตามโครงการที่รัฐตั้งขึ้นมา ก็ใช้หนี้กันไป ไม่จำเป็นต้องจ่ายหนี้ด้วยเงิน แต่เป็นการจ่ายหนี้ด้วยงาน ก็สามารถหมดหนี้กันไปได้ โดยไม่ต้องยกหนี้ แต่เป็นการปลดหนี้ด้วยงาน ซึ่งสามารถขยายไปยังหนี้ต่าง ๆ ได้อีกหลายเรื่อง” นายพีระพันธุ์กล่าว

ในส่วนของนโยบายเกี่ยวกับการ “รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชนและเป็นอุปสรรคการทำกิน” นั้น พรรครวมไทยสร้างชาติได้ดำเนินการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยมีการร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน เช่น ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนจำนวนมากประสบความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกิน ที่มีสาเหตุจากความไม่ชัดเจนของกฎหมาย ความซ้ำซ้อนของกฎหมายหลายฉบับของแต่ละหน่วยงานที่ถือกฎหมายคนละฉบับ ทำให้ประชาชนถูกดำเนินคดี ด้วยเรื่องที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ และไปอยู่ในแนวเขตอุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่ป่าสงวนต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติผลปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ แบบบูรณาการ หรือที่เรียกว่า “One map” จำนวน 11 จังหวัดในภาคกลาง ไปเมื่อปี 2565 และจะนำมาใช้แก้ปัญหาเรื่องที่ดินทับซ้อน ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิทำกินในที่ดินนั้น โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนฟ้องขับไล่หรือถูกดำเนินคดีอีกต่อไป และจะได้มีการดำเนินการในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น เราจะปรับแก้กฎหมายนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อดำเนินการต่อยอดให้ผู้ยากไร้ไม่มีที่ทำกินมีโอกาสมีที่ทำกินมากขึ้น

“กฎหมายทุกวันนี้ออกมาจากคนที่ถือกฎหมายคิดเองเขียนเอง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการทำกิน ซึ่งมีหน่วยงานเกี่ยวข้องเยอะแยะไปหมด ก็ต้องเอากฎหมายเหล่านี้มาแก้ ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีนโยบายเกี่ยวกับที่ดินตามนโยบายคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ แต่ก็ยังไม่สามารถเคลียร์ได้อีกหลายเรื่อง ก็ต้องแก้กฎหมายต่อไป อีกตัวอย่างคือในสังคมเมืองที่เห็นได้ชัด ก็คือ การขออนุญาตประกอบกิจการ ซึ่งต้องดำเนินการหลายขั้นตอน แม้แต่เรื่องง่าย ๆ เช่น ถ้าจะเปิดร้านอาหารสักร้านกว่าจะเปิดได้ต้องผ่านหลายกระทรวง ทำไมเราไม่ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยให้แต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องประกาศเป็นกฎระเบียบออกมาล่วงหน้า ใครที่อยากเปิดร้านอาหารก็ดำเนินการตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น และเปิดร้านได้ทันทีโดยไม่ต้องรอใบอนุญาต เพียงแต่ต้องแจ้งภาครัฐให้มาตรวจสอบเพื่อออกใบอนุญาตตามหลัง โดยไม่ต้องเสียโอกาสในการทำมาหากิน” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ยังเปิดเผยอีกว่า ทั้ง 5 นโยบายนี้ถือเป็นการนำร่องหาเสียง ก่อนการเปิดตัวนโยบายทั้งหมดของพรรครวมไทยสร้างชาติบนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในต้นเดือนเมษายนนี้ พร้อมทั้งกล่าวแสดงความมั่นใจว่า ทุกนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติสามารถทำได้จริงและทำได้ทันทีได้อย่างแน่นอน

“ทุกพรรคต่างก็มีแนวทางหรือประเด็นที่คิดว่าตัวเองต้องแก้ไข ซึ่งก็เป็นที่น่าดีใจที่ทุกพรรคมองเห็นปัญหาของประชาชน เพียงแต่ว่าปัญหาไหนที่ประชาชนเป็นกังวลมากที่สุด และที่สำคัญคือ พรรคไหนทำได้แน่ ซึ่งตรงนี้ของเราทำแล้ว ทำอยู่ และจะทำต่อ และเราทำได้แน่นอน” นายพีระพันธุ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” ลั่นฟ้อง “ธนพร” อยู่ที่ทนายหากขอโทษแล้วจบหรือไม่

ทำเนียบ 21 ส.ค.-“ภูมิธรรม” ลั่นฟ้อง “ธนพร” อยู่ที่ทนายหากขอโทษแล้วจบหรือไม่ ย้ำวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่สุจริต ไม่มีข้อเท็จจริง ต้องรับผิดชอบ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมอบอำนาจทนายความยื่นฟ้อง นายธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมือง ฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ถ้า นายธนพร ขอโทษ จะเลิกแล้วต่อกันหรือไม่ว่า แล้วแต่ทนายความตนได้มอบหมายไปแล้วเมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) ส่วนจะฟ้องเฉพาะนายธนพร หรือจะมีบุคคลอื่นด้วยหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า อะไรที่เกินเลยเป็นการพูดที่ไม่รับผิดชอบทำลายเกียรติยศ เกียรติภูมิ ของผู้อื่น ก่อให้เกิดความสับสนเป็นภัยต่อปัญหาของประเทศก็คงฟ้อง เมื่อถามว่าที่ผ่านมาก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันแต่ไม่เคยมีการส่งฟ้องกันใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า ไม่จริง มีการฟ้องกันมาเยอะแล้ว ถ้าไปทำลายเกียรติภูมิของเขาหรือครอบครัวเขาก็ฟ้องกันทั้งนั้น ถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตไม่ผิดอะไร แต่ถ้าวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่สุจริต นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จอันนี้เป็นเรื่องที่ควรรับผิดชอบ และต้องถามผู้ที่วิจารณ์ว่า วิจารณ์ไปโดยที่ไม่มีข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ ทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า ต้องย้อนไปถามผู้ทำผิดอย่ามาย้อนถามผู้เสียหาย.-316.-สำนักข่าวไทย

รวบแล้ว! มือยิง “กำนันเล้น” หนีกบดานเกาะลันตา

กระบี่ 21 ส.ค. – ไล่ล่าเกือบ 20 วัน จับได้แล้วมือยิง “กำนันเล้น” กำนันคนดัง จ.ตรัง หนีกบดานเกาะลันตา จ.กระบี่ เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกดดัน 3 วัน 3 คืน สุดท้ายไม่รอด เจ้าหน้าที่บุกจับ นายธวัชชัย อายุ 33 ปี ผู้ต้องหายิง นายบัณฑิต รองพล หรือ กำนันเล้น อายุ 57 ปี กำนัน ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา คดีนี้อุกอาจและสะเทือนขวัญคนในพื้นที่มาก เพราะคนร้ายไปรอดักยิงกำนันถึงหน้าบ้าน ขณะที่กำนันกำลังขับรถเข้าบ้าน และใช้อาวุธสงคราม M16 ในการก่อเหตุ ซึ่งกำนันเล้น เป็นกำนันคนดังในจังหวัด และเป็นประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอห้วยยอด หลักฐานสำคัญในตอนนั้น คือ ภาพจากกล้องวงจรปิด โดยคนร้ายใส่ชุดดำ สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า บุกไปก่อเหตุหน้าบ้านกำนัน […]

“ไชยา” สั่งปิดประชุมดื้อๆ หนีถกญัตติด่วน MOU 43-44

รัฐสภา 21 ส.ค.- งงทั้งห้องประชุม! “ไชยา” สั่งปิดประชุมดื้อๆ หนีถกญัตติด่วน MOU 43 และ 44 ด้านประธานวิปรัฐบาลบอกไม่รู้เรื่อง ยันไม่ได้ส่งสัญญาณให้ปิดประชุม ขณะที่ “ไชยา” อ้างเป็นข้อตกลง 2 วิปขอปิดประชุมเอง การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังจากการพิจารณากระทู้ถามสด และกระทู้ถามทั่วไป เสร็จสิ้นแล้ว จึงเข้าสู่วาระพิจารณารับทรารายงานการประชุม เรื่องรายงานประจำปี 2567 ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีการตกลกระหว่างวิปรัฐบาลกับวิปฝ่ายแล้วว่า หลังจากจากเสร็จสิ้นวาระรับทราบการประชุมแล้ว จะเข้าสู่การประชุมลับ เพื่อพิจารณาญัตติด่วนเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาบันทึกข้อตกลง MOU 43 และ 44 ของนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย แต่ปรากฏว่าภายหลังที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุมกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว นายไชยากล่าวต่อที่ประชุมว่า ใช้เวลาการประชุมมาพอสมควรแล้ว และสั่งปิดประชุมดื้อๆ ในเวลา 14.59 น. สร้างความงุนงงให้กับสส. เพราะตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่า จะพิจารณาญัตติด่วนเรื่อง MOU 43 […]

นายกฯ พกยาดม เข้าไต่สวนปมคลิปเสียง

ศาล รธน. 21 ส.ค.-“แพทองธาร” นายกฯ พกยาดม เข้าไต่สวนปมคลิปเสียง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 11.34 น ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กลับมาเผยแพร่โทรทัศน์วงจรปิดอีกครั้ง หลังจากไต่สวนนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พยานในคดีปมคลิปเสียงสนทนา ระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เสร็จสิ้นโดยใช้เวลาไต่สวนนายฉัตรชัย ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นได้เบิกตัวนางสาวแพทองธาร มาไต่สวนต่อ โดยเริ่มจากการกล่าวสาบานตน ก่อนให้การ ซึ่งเป็นที่สังเกตว่านางสาวแพทองธาร ได้พกยาดมสีเหลืองวางไว้ใกล้มือด้วย โดยหลังสาบานตนเสร็จก็ได้มีการตัดสัญญาณถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ อีกครั้ง.-319.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ศาลยกฟ้อง “ทักษิณ” คดี ม.112 – พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

กทม. 22 ส.ค.-ศาลชั้นต้นยกฟ้อง “ทักษิณ” คดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เจ้าตัวยิ้มและกล่าวคำพูดแรกขอบคุณทีมทนายความ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ เห็นว่าคลิปเสียงที่โจทก์นำมาเป็นหลักฐานไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นคลิปที่มีการตัดต่อหรือไม่ และศาลเชื่อว่าบทสัมภาษณ์น่าจะมากกว่าความยาวของคลิปดังกล่าว จึงพิพากษายกฟ้อง หลังฟังคำพิพากษา นายทักษิณ ยิ้มและกล่าวคำพูดแรกขอบคุณทีมทนายความ หลังจากนี้จะได้ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่.-สำนักข่าวไทย

เริ่มแล้ว ประชุม RBC ฝั่งกองทัพภาคที่ 1

สระแก้ว 22 ส.ค.-เริ่มแล้ว ประชุม RBC ฝั่งกองทัพภาคที่ 1 รอผล “กัมพูชา” ตอบรับ 3 ข้อ เวลา 10.00 น. ที่สโมสรสรนายทหาร มณฑลทหารบกที่ 19 เริ่มแล้วสำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) ในระดับแม่ทัพ ฝั่งกองทัพภาคที่ 1 ฝ่ายไทยนำโดย พลโทอมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ขณะที่ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พลเอกแอก ซอมโอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 โดยจะใช้เวลาการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงต้นได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ ก่อนเชิญออกเพื่อเข้าสู่วาระการประชุม ทั้งนี้ รายงานข่าวยืนยันว่า ในวงประชุมวันนี้ จะเป็นการหารือ 13 + 3 ข้อตกลง คือ 13 ข้อจากเดิม GBC เพื่อนำสู่การปฏิบัติ และข้อเสนอใหม่ ของฝ่ายไทย 3 […]

“ทักษิณ” ผูกเนกไทเหลือง มาฟังคำตัดสินคดี ม.112

กทม. 22 ส.ค.-“ทักษิณ” มาก่อนเวลา สวมสูท-ผูกเนกไทเหลือง มาฟังคำตัดสินคดี ม.112 ก่อนสวมกอด “พินทองทา” และโบกมือทักทายสื่อฯ-มวลชนเสื้อแดง ก่อนขึ้นห้องพิจารณาที่ 902 ด้านตำรวจ สน.พหลฯ จัดกำลังดูแลความเรียบร้อยตามความเหมาะสม ต่อมาเวลา 09.20 น. นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนกลางนายทักษิณชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงศาลอาญารัชดา โดยจอดรถบริเวณด้านข้างอาคารศาลอาญา จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกันนายทักษิณ เดินทางมาถึงศาลอาญาด้วยรถยนต์ส่วนตัว โดยมาด้วยชุดสูทสีกรมท่า เสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเนกไทสีเหลือง ก่อนจะสวมกอดกับลูกสาว และเดินเข้าไปบริเวณด้านในอาคารศาลอาญารัชดาทันทีเพื่อเข้าสู่ห้องพิจารณาคดีที่ 902 ในเวลา 10.00 น. ตามที่ศาลนัดพิพากษาตัดสินคดีวันนี้ ขณะที่มาตรการรักษาความปลอดภัย พันตำรวจเอกมารุต สุดหนองบัว ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ให้ข้อมูลว่า ในวันนี้เจ้าหน้าที่ศาลอาญาได้ประสานขอกำลังสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ให้เข้ามาช่วย ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งตำรวจสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ทั้งในและนอกเครื่องแบบได้เข้ามาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่โดยมีการวางกำลังเสริมกับตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลตามความเหมาะสม โดยก่อนหน้านี้ทางกลุ่มแกนนำมวลชนเสื้อแดงได้มีการประสานกับฝ่ายสืบสวนว่าจะเข้ามาจัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้กำลังใจ และจับภาพรวมการข่าวก็ยังไม่พบอะไรที่น่าเป็นกังวล ขณะเดียวกันพบมีมวลชนจำนวนหนึ่งเดินทางมาปักหลักที่บริเวณลานจอดรถของศาลอาญาพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีแดง และสกรีนข้อความให้กำลังใจพร้อมรูปของนายทักษิณ เป็นการให้กำลังใจเดินทางมาให้กำลังใจนายทักษิณเดินทางมาจากในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ซึ่งตำรวจศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลอาญาได้มีการกันพื้นที่ เพื่อให้กลุ่มมวลชนอยู่ พื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ให้เพื่อไม่ให้กระทบกับประชาชน และเจ้าหน้าที่ที่เดินทางมาที่ศาลอาญา.-420.-สำนักข่าวไทย

ประชุม RBC ระดับเลขาฯ ไม่ยกเลิก หลังมีข่าวส่อแววล่ม

สระแก้ว 21 ส.ค.- ไม่ล่ม! การประชุม RBC ระดับเลขานุการ ยังไม่ยกเลิก กระบวนการหารือยังคงดำเนินต่อไป แม้ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวส่อล่ม เนื่องจากฝ่ายกัมพูชายังไม่เดินทางมาเข้าร่วม ภายหลังการประชุม คณะกรรมการร่วมชายแดนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 27 สิงหาคม 2568 หลายฝ่ายจับตาไปที่การประชุมของกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (22 ส.ค.) แต่ปรากฏว่าวันนี้ เมื่อถึงเวลาประชุม RBC ระดับเลขานุการ ทางฝ่ายกัมพูชายังไม่ได้เดินทางมา บรรยากาศที่สโมสรนายทหาร มณฑลทหารบกที่ 19 จ.สระแก้ว การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย – กัมพูชา (RBC) สมัยวิสามัญ ซึ่งตามกำหนดในเวลา 14.00 น. จะมีการประชุม กองทัพภาคที่ 1 นำโดย พลตรี สุรวิชญ์ แดงจันทร์ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 เป็นประธานคณะทำงาน ฝ่ายไทย ขณะกัมพูชา นำโดย พลโท ซอ […]