รัฐสภา 7 มี.ค.- ประธานรัฐสภา ชี้ ผลงานสภาฯ 4 ปี เป็นไปด้วยดี แม้เป็นรัฐบาลผสมถึง 19 พรรค บอก เสียดายโอกาสช่วงปลายสมัยกลับง่อนแง่น เกิดปัญหาองค์ประชุมล่มบ่อยครั้ง
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงภาพรวมผลงาน 4 ปีของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 ว่า สภาฯชุดนี้มีการประชุมครบทั้ง 8สมัย โดยวันสุดท้ายคือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ และครบวาระ 4 ปี วันที่ 23 มีนาคม นับจากการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ถือว่า เป็นระยะเวลาหนึ่งที่ครบของกระบวนการนิติบัญญัติ แม้อาจจะมีการยุบสภาก่อนวันใดวันหนึ่ง โดยภาพรวมตั้งแต่เริ่มสมัยสภาชุดนี้นับแต่มีระบบการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปจากเดิม จึงทำให้มีลักษณะที่เกิดพรรคการเมืองใหม่มารวมแล้ว 26 พรรค แต่โครงสร้างของบ้านเมืองยังคงยึดหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งระบบนี้ฝ่ายเสียงข้างมาก คือ ผู้ตั้งรัฐบาล ทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบันจึงประกอบด้วยพรรคการเมืองเกือบ 19 พรรค เป็นฝ่ายค้าน 7 พรรค ปกติแล้วรัฐบาลผสมจะไม่ค่อยมีการรวมมากเช่นนี้ นับว่ามากสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การเริ่มต้นของสภาฯ ชุดนี้ก็เป็นไปด้วยดี มีปัญหาเพียงช่วงปลายสมัย แม้ว่าปกติแล้วจะมี ส.ส.เดิมเข้ามาในสภามากกว่า ส.ส.ใหม่ แต่สภาชุดนี้มี ส.ส.ใหม่มากกว่าครึ่งที่ยังไม่เคยเป็น ส.ส.มาก่อน หรือใหม่ทั้งพรรค แต่เมื่อมองภาพความเป็นจริง ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 ก็ไม่มีสภาฯ มา 5 ปี ดังนั้นการเริ่มของสภาฯ ชุดนี้ จึงเริ่มต้นจากการไม่มีสภาฯ มา 5 ปี จึงต้องมาเรียนรู้กันใหม่ ส่งผลให้มีทั้งบวกและลบในหลายเรื่อง
ในส่วนของการพิจารณากฎหมายของสภาชุดนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในโครงสร้างระบบประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการบริหาร ดังนั้น ระบบนี้รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีเสียงข้างมาก ซึ่งต่างจากระบบประธานาธิบดี ดังนั้น การที่รัฐบาลต้องคุมเสียงข้างมากจึงเป็นเรื่องที่เป็นหัวใจของการทำหน้าฝ่ายนิติบัญญัติ หากรัฐบาลต้องการใช้กฎหมายในการบริหาร รัฐบาลต้องนำเสียงข้างมากมาให้ได้ โดยตั้งแต่เริ่มสภาฯ ชุดนี้ รัฐบาลก็สามารถทำได้ดี กฎหมายที่รัฐบาลเสนอมาก็สามารถผ่านได้เรียบร้อย หรือเรียกได้ว่าผ่านสภาฯ เกือบทุกฉบับ จะมีเพียงกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกบ้างที่ไม่ได้รับการพิจารณาหรือไม่ผ่านสภาฯ เพราะเป็นกฎหมายที่เสนอร่วมกับรัฐบาล ยกเว้นช่วงหลังในปีสุดท้ายที่ไม่สามารถผ่านการพิจารณาได้ด้วยเงื่อนไขขององค์ประชุม
ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลไม่สามารถคุมเสียงข้างมากได้ก็ยังมีเสียงของฝ่ายค้านเป็นองค์ประชุม แต่ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการกดบัตรเป็นองค์ประชุมเพิ่มมากขึ้น ภายหลังเมื่อฝ่ายค้านไม่กดบัตร ทำให้เป็นปัญหาองค์ประชุม จะเห็นว่าในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลเองก็มีปัญหาความร่วมมือในองค์ประชุมเช่นกัน หรือแม้แต่การไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายก็ไม่มาเพื่อให้ครบองค์ประชุม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะสมาชิกต้องกล้าแสดงความเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับใดด้วยการลงมติไม่รับ เพราะการไม่มาร่วมการพิจารณาทำให้กฎหมายค้างการพิจารณาและเกิดปัญหาเวียนซ้ำที่เดิม ทำให้การพิจารณากฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติสะดุดด้วยเรื่องนี้ และไม่น่าเชื่อว่าลามไปถึงวุฒิสภา โดยเฉพาะการประชุมร่วมรัฐสภา เพราะโดยปกติวุฒิสภาจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้องค์ประชุมครบ แต่ช่วงหลัง 2-3 ครั้งที่วุฒิสภาก็ทำแบบผู้แทน อาทิ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา และเป็นกฎหมายเพียงกฎหมายเดียวในการประชุมร่วมรัฐสภาที่ไม่ได้พิจารณาตลอดเวลา 4 ปี
ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวยอมรับว่า ช่วงหลังๆ กฎหมายที่เป็นประโยชน์เสียโอกาสมาก อาทิ กฎหมายขนส่งทางราง กฎหมายเช็คซึ่งเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลสำหรับการบริหารประเทศ โดยรัฐบาลเพิ่งส่งมาภายหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังมีปัญหาองค์ประชุม ทำให้กฎหมายเหล่านั้นไม่ได้รับการพิจารณาแต่หากไม่มีปัญหาองค์ประชุม เชื่อได้ว่ากฎหมายจะได้รับการพิจารณาทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย.-สำนักข่าวไทย