รทสช. มีผู้สมัครพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งเกิน 100 %

รัฐสภา 18 ม.ค.-“เขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์” สมัครสมาชิกรวมไทยสร้างชาติแล้ว เผยเป็นทีม “ลุงตู่-พี่ขิง” พร้อมชิง ส.ส.กทม. ด้าน “เอกนัฏ” ระบุมี ส.ส. พร้อมลงสนามเลือกตั้งครั้งใหม่เกิน 100%


นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลัง มาเขียนใบสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคให้การต้อนรับพร้อมรับใบสมัครการเป็นสมาชิกพรรคของนายเขตรัฐ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการเข้ามาสมัครสมาชิกพรรคของนักการเมืองต่าง ๆ ในขณะนี้คือมี ส.ส. ที่ลาออกจากพรรคเดิมและผู้สมัครใหม่ทยอยมาเขียนใบสมัคร ซึ่งถ้าเป็นส.ส.ปัจจุบันตามที่ได้คุยกันไว้ก็ยังอยากให้ทำหน้าที่ ส.ส. ไปก่อน เพื่อให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ในกรณีของนายเขตรัฐ เนื่องจากเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ การลาออกจึงไม่กระทบการทำงานของ สภาฯ สามารถลาออกมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคได้


“ในส่วนของกทม.จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ เพราะถ้าจะไปลงสมัครในระบบเขตทุกคนต้องมีเวลาลงพื้นที่ ซึ่งคนที่พรรคจะส่งสมัครในฐานะตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ หลายคนรู้ตัวกันอยู่แล้ว และในวันพรุ่งนี้ (19 ม.ค.) จะประชุมว่าที่ผู้สมัครทั้งหมดของกทม.กว่า 30 คน เพื่อทำความเข้าใจในการทำงาน อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่จำเป็นต้องรอความชัดเจนของการแบ่งเขต แต่สำหรับว่าที่ผู้สมัครที่มีความชัดเจนแล้วจะแนะนำตัวเพื่อให้ทำงานในพื้นที่ได้เลย เมื่อทุกอย่างพร้อม พรรคจะประกาศตัวผู้สมัครอย่างเป็นทางการทันที รวมถึงการประกาศนโยบายของพรรคที่จะเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ด้วย” นายเอกนัฏ กล่าว

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติจะมีนโยบายเกี่ยวกับสวัสดิการของประชาชนเช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ ที่ประกาศไปแล้วหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า มีแน่นอน โดยแนวคิดของพรรคคือจะต้องดูสถานะของประเทศก่อน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นหลังจากปัญหาโควิด ซึ่งหากดูจากภาพรวมเห็นได้ว่าตัวเลขจีดีพีกำลังไปในเชิงบวก ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าประเทศเราไปได้ดี ซึ่งทั้งหมดเป็นผลงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่กอบกู้สถานการณ์มาแล้ว หลังจากนี้ต้องเก็บเกี่ยวโอกาสใหม่ ๆ

“ส่วนการจะไปแข่งเรื่องการลด แลก แจกแถม เห็นว่าเป็นการใช้เงินบิดเบือนกลไกการตลาด ไม่ทำให้เกิดความยั่งยืน ผมเชื่อว่าจากผลงานของรัฐบาลชุดนี้ หากส่งเสริมการลงทุนหรือการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ การพัฒนาธุรกิจบริการการสาธารณสุขที่สามารถมาส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ และจะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น ประเทศมีรายได้ ทำให้ตลาดการจ้างงานโตขึ้นด้วย ที่เขาพูดกันเรื่องประกันค่าแรง 600 บาทในความรู้สึกผม ถ้าทำได้ดี ไม่ต้องไปประกัน ผมว่าอีก ปีสองปีเราก็สามารถทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นได้ และไม่ใช่เฉพาะในส่วนของค่าแรงอย่างเดียว แต่รายได้กับคนที่ทำอาชีพอื่นด้วย ไม่ใช่การรับจ้างอย่างเดียว จะเป็นเกษตรกร เจ้าหน้าที่ พนักงาน เป็นคนที่อยู่ในออฟฟิศก็จะไปด้วยได้”  นายเอกนัฏ กล่าว


นายเอกนัฏ กล่าวว่า สิ่งที่ควรต่อยอดจากรัฐบาลชุดนี้คือเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ที่พัฒนาถนนหนทาง ท่าอากาศยานเตรียมพร้อมสำหรับการเชื่อมโยงประเทศไทยกับภูมิภาค และประชาคมโลกไว้ได้ดีมากแล้ว ขณะเดียวกันต้องมีสวัสดิการที่ต่อยอด สร้างความเท่าเทียมเรื่องของโอกาส การสร้างสังคมที่เป็นธรรม ไม่ได้ดูแลเฉพาะบุคคล แต่เป็นการดูแลไปถึงครอบครัว

“จากนี้ไปเราได้รับนักการเมืองไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ปัจจุบันหรือนักการเมืองหน้าใหม่ที่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคจำนวนมาก เตรียมขับเคลื่อนพรรครวมไทยสร้างชาติไปด้วยกัน ผมเชื่อว่าเรามีโอกาสในอนาคตที่จะพัฒนาให้พรรคเป็นสถาบัน หน้าที่ของเราคือจะต้องขับเคลื่อนสู้ศึกการเลือกตั้งนี้ให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพื่อจะขับเคลื่อนนโยบายของเราไปให้ได้ แต่ทั้งหมดจะต้องมีความรับผิดชอบในฐานะพรรคการเมืองด้วย” นายเอกนัฎ กล่าว

ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในนามพรรค นายเอกนัฏ กล่าวว่า กระบวนการคัดเลือกแคนดิเดตนายกฯ ต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ดังนั้น 1 ใน 3 จะต้องมี พล.อ.ประยุทธ์ อยู่แล้ว แต่จะมีขั้นตอนกระบวนการที่อาจจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องพิธีกรรมอะไรมาก เพราะส่วนใหญ่ก็รู้กันอยู่แล้ว

นายเอกนัฎ กล่าวถึงกำหนดการการพบปะประชาชนของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า จะเกิดขึ้นสิ้นเดือนนี้ คาดว่าถ้าเป็นไปตามกำหนดจากนี้ไป พล.อ.ประยุทธ์ สวมหมวกสองใบ เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันก็เป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย หลังจากที่จัดงานไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม มีเสียงเรียกร้องจากสมาชิกพรรคอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ไปพบ ดังนั้น ตั้งแต่ปลายเดือนนี้เป็นต้นไปจะออนทัวร์ ไปตามภูมิภาคต่าง ๆ โดยจะเลือกจุดที่ง่ายต่อการเดินทาง ซึ่งเป็นจุดหลักในภูมิภาค

 ส่วนกรณีที่พล.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐลงพื้นที่ จ.ราชบุรี ก่อนการเดินทางไปของพล.อ.ประยุทธ์ นายเอกนัฎ กล่าวว่า คงไม่มีผลอะไร เป็นเรื่องธรรมดาของการปฏิบัติราชการหรือการทำงานการเมือง ขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์มีหมวกสองใบ การจะออกไปปฏิบัติราชการต่างจังหวัดเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว ส่วนในฐานะสมาชิกพรรคเป็นการทำงานนอกเวลาราชการ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเย็น ช่วงวันหยุด เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เวลาให้คุ้มค่าในการทำหน้าที่ของสมาชิกพรรค เพื่อขับเคลื่อนพรรคไปพร้อมกับสมาชิกพรรคและผู้บริหารคนอื่น ๆ ด้วย

เมื่อถามถึงกลุ่มรัฐมนตรีจากกลุ่มพรรคเพื่อประชาชนที่สนใจจะมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติมีความชัดเจนอย่างไร นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในทางการเมือง ความชัดเจนที่เห็นขณะนี้ถือว่าชัดมากแล้ว และที่คุยกันไว้มีอีกจำนวนมาก บางคนยังไม่สามารถบอกได้ เพราะต้องรักษามารยาททางการเมือง แต่ยืนยันได้ว่า ณ เวลานี้ จะมีกลุ่มนักการเมือง ส.ส. ปัจจุบัน รัฐมนตรี ขณะเดียวกันมีนักการเมืองดาวฤกษ์รุ่นใหม่ คนใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากบ้านใหญ่ มีศักยภาพเป็นดาวฤกษ์ในตัวเองที่ตั้งใจมาลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติกว่า 100 คน

“มีเสียงเรียกร้องให้พรรคประกาศตัวผู้สมัครเลย ซึ่งจริง ๆ เรามีอยู่แล้ว ทำพรรคการเมืองเราก็รู้ ช้าสุดก็ต้องเลือกตั้งอีกไม่นาน ดังนั้น ตัวผู้สมัครหลายภาค อย่าบอกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ เกินร้อยเปอร์เซ็นต์ดีกว่า หลายเขตเลือกตั้งมีผู้มาแสดงความประสงค์จะลง ส.ส. มากกว่าหนึ่งคนก็ต้องคัดเลือกคนที่ดีที่สุดในสายตาประชาชน นั่นคือเกณฑ์สำคัญของเราอยู่แล้ว วันนี้เรื่องตัวผู้สมัคร เราพร้อม กรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคใต้ แม้กระทั่งอีสาน เหนือ ทุกภาคพร้อม อาจจะมีบางคนที่ตัดสินใจไปพรรคอื่นแล้วเปลี่ยนใจมาที่นี่ก็ได้ คนที่ไม่คิดจะมาก็มา เมื่อวานก็มีมาเพิ่มอีก แต่ถ้าเป็นส.ส.อยู่ก็อยากให้ทำงานไปก่อน ยังไม่ต้องรีบลาออก อันนี้ก็ถือประกาศไปเลย แต่บัญชีรายชื่อไม่เป็นไร” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าวว่า สำหรับนายเขตรัฐ เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อก็จริง แต่วันนี้ตั้งใจจะมาลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งกรุงเทพฯ ก็เลยลาออกมา แต่ไม่ทำให้สภาฯ ต้องเสียหาย ขณะเดียวกันคุณเขตรัฐจะลงพื้นที่ด้วย เป็นคนรุ่นใหม่มีศักยภาพ มีประสบการณ์ เราเองก็ดีใจที่มีบุคลากรที่เป็นแบบคุณเขตรัฐมาช่วยงานพรรคแล้วมีมากกว่านี้ เพราะเราเน้นผสมผสานคนทุกรุ่นทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นใหม่ด้วย

ด้านนายเขตรัฐ กล่าวว่า ที่ตัดสินใจมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติเพราะติดตามการทำงานของพรรค และการทำงานของแกนนำและหัวหน้าพรรค ทำให้เชื่อมั่นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นพรรคที่เป็นสถาบัน ที่จะเป็นเสาหลักของประเทศได้ รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือ จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาสมัครสมาชิกพรรค ซึ่งตนเป็นทีม “ลุงตู่” และทีม “พี่ขิง” ด้วย จึงไม่ต้องมีอะไรให้ตัดสินใจมาก เงื่อนไขไม่ต้องตั้ง ความชัดเจนสำคัญที่สุด วันนี้จึงมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อจะได้เริ่มทำงานเลย ทั้งนี้ ไม่ได้คุยกับบิดาเลย เพราะตอนนี้บิดากำลังเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ คราวที่แล้วก็เข้าพรรคก่อน ครั้งนี้ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร อยากให้ติดตามต่อไป.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]