ทำเนียบ 4 ม.ค.-นายกฯ ปลื้ม สับปะรดกระป๋องของไทยครองอันดับ 1 ของโลก ขณะที่ มะม่วงเบาสงขลา ขึ้นทะเบียน GI แล้ว สั่งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งส่งเสริม-พัฒนาขีดความสามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสับปะรด และผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ครองสัดส่วนตลาดโลกถึง 32% และชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนชื่อเสียงผลิตภัณฑ์สับปะรดกระป๋องของไทยจนมียอดส่งออกอันดับ 1
ทั้งนี้ พื้นที่และโรงงานสับปะรดส่วนใหญ่ของไทยอยู่ที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเปรียบเสมือนมหานครสับปะรดของไทยและของโลก และรัฐบาลยังได้จัดทำแบบแผนพัฒนาสับปะรด 5 ปี (2566-2570) เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตสับปะรด เพิ่มศักยภาพการผลิต การแปรรูป และการตลาด รวมถึงยังมีแผนใช้กองทุนพัฒนาผลไม้เป็นกลไกสำคัญเพื่อยกระดับรายได้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสับปะรด อย่างยั่งยืนด้วยแนวทางเกษตรมูลค่าสูง
นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี รับทราบรายงานมะม่วงเบาสงขลา ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมของคนในจังหวัดสงขลาและนักท่องเที่ยวที่มักจะซื้อนำไปเป็นของฝากขึ้นชื่อของจังหวัด ทั้งในรูปแบบผลสดและแปรรูป ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI แล้ว ซึ่งสินค้ามะม่วงเบามีศักยภาพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่กว่า 58 ล้านบาทต่อปี ตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล ใช้ผลประโยชน์จากการขึ้นทะเบียน GI เพื่อคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าตลอดจนส่งเสริมการจัดทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค และขยายช่องทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง
“นายกรัฐมนตรี ชื่นชม และขอบคุณการทำงานของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐบาล เกษตรกรในพื้นที่ และผู้ประกอบการ เอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมกันดำเนินการตามมาตรการของรัฐ ร่วมกันพัฒนาศักยภาพ คงคุณภาพของสินค้าไทย เพื่อชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือในการส่งออก พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิต และการส่งออกสินค้า รวมทั้งศึกษาหารูปแบบที่เหมาะสมกับกระแสโลกในทุกช่วงเวลา เพื่อจักได้เพิ่มรายได้ ตลอดจนกระจายรายได้สู่เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่น พัฒนาเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ฐานราก และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” นายอนุชา กล่าว.-สำนักข่าวไทย