นักวิชาการ ชี้ กสทช.ทำหน้าที่ถูกต้อง

กทม. 26 ต.ค.- นักวิชาการโทรคมนาคม ชี้ กสทช.เสียงข้างมาก ทำหน้าที่ถูกต้อง ยึดหลักกฎหมาย สร้างโอกาสแข่งขันให้ประเทศ มั่นใจเงื่อนไขคุมเข้มจะเป็นประโยชน์คุ้มครองผู้บริโภค เกิดผลดีต่ออุตสาหกรรม พร้อมเสนอบังคับใช้กับผู้ประกอบการทุกราย คาดทรู-ดีแทค เร่งศึกษาเงื่อนไขตามกรอบเวลา


นายสืบศักดิ์ สืบภักดี นักวิชาการด้านโทรคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่บอร์ด กสทช.มีมติเสียงข้างมากรับทราบการควบรวม ทรู – ดีแทค และได้กำหนดเงื่อนไข/มาตรการเฉพาะ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนากิจการโทรคมนาคมว่า ถือเป็นการพิจารณาที่รอบคอบและถูกต้องตามกฎหมายบัญญัติ เนื่องจากเรื่องนี้ตามกฎหมายจะพิจารณาโดยมติ “อนุมัติ” หรือ “ไม่อนุมัติ” ไม่ได้ เนื่องจากการควบรวมในกรณีในลักษณะนี้ของทรูดีแทค ระบุไว้ชัดเจนในประกาศ กสทช.ปี 2561 ซึ่งให้ กสทช. มีอำนาจในการพิจารณารับทราบรายงานและยังมีอำนาจเต็มในการออกมาตรการเสริมเพิ่มเติม ถ้าสังคมมีความกังวลเรื่องของค่าบริการ คุณภาพการให้บริการ และการดูแลลูกค้า ซึ่งบอร์ด กสทช.ก็ได้ออกเงื่อนไข/มาตรการเฉพาะมาคุมเข้ม ไม่ว่าจะเป็นการห้ามรวมแบรนด์กันนานถึง 3 ปี รวมถึงมีมาตรการเรื่องเพดานราคา และยังต้องแบ่งคลื่นให้กับ MVNO ฯลฯ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการควบรวมกิจการทรูดีแทคจะไม่สร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค หรือ การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม แต่กลับจะทำให้ภาคโทรคมนาคมได้มีโอกาสพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาคได้อีกด้วย ทั้งนี้มองว่าเงื่อนไขที่ กสทช.กำหนดคุมเข้มนั้น ถือว่าดีกับทั้งอุตสาหกรรม และน่าจะบังคับใช้กับผู้ประกอบการทุกรายในอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อ 25 ต.ค.65 กสทช.ได้ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการแจ้งให้ทรูและดีแทค รับทราบการรวมธุรกิจโดยกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อกำกับดูแลการควบบริษัท ซึ่งปรากฏว่าภายในวันเดียวกันทรูและดีแทคได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯโดยทันทีว่าจะพิจารณาเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะดังกล่าวเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่เหมาะสมและการดำเนินการขั้นต่อไป แสดงให้เห็นว่าทั้งทรูและดีแทคจะเร่งการควบรวมหลังจากที่ได้รับแจ้งมติ กสทช.อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 22 ต.ค.65 นายสืบศักดิ์ สืบภักดี ได้โพสต์บนเฟสบุ๊ค Suebsak Suebpakdee ในหัวข้อ บทวิเคราะห์ หลัง กสทช. ลงมติเห็นชอบรายงานการควบรวมกิจการ ทรู-ดีแทค เรื่องนี้เรียกได้ว่าจบรึยัง? เพื่อไขข้อข้องใจของสังคมให้กระจ่าง โดยมีประเด็นสำคัญ 3 ประเด็น 1.ดีลยังไม่จบและอาจเรียกได้ว่ายังมีเรื่องต้องผ่าฟัน 2.ข้อปฏิบัติที่เอกชนเห็นว่าปฏิบัติไม่ได้หรือไม่เป็นธรรมก็อาจร้องแย้งมติ 3.ความเห็นและข้อกังวลที่เกิดหลังมติ กสทช. 20 ตุลาคม 2565


ประเด็นแรก ดีลยังไม่จบและอาจเรียกได้ว่ายังมีเรื่องต้องฝ่าฟัน โดยระบุว่า เงื่อนไขและมาตรการเฉพาะ ที่ กสทช. ออกท้ายมติ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนากิจการโทรคมนาคมเท่าที่เห็นนั้น แม้หลายข้อจะเป็นการปรับจากการหยั่งเสียง และรับฟังข้อมูลก่อนหน้านี้มาเเล้วเพื่อบาลานซ์ทั้งต่อข้อร้องเรียนเเละข้อกังวลขององค์กรผู้บริโภค เเละฝั่งอุตสาหกรรม เเละข้อมูลทางเทคนิคแล้ว จนออกมาเป็นเงื่อนไขที่ดูแล้ว “พอจะ” หาทางไปได้ไม่เกิดการปฎิบัติไม่ได้ หรือได้ยากเเล้ว แต่เมื่อพิจารณารายข้อก็จะยังพบว่าสิ่งที่ทั้ง กสทช. และผู้รับใบอนุญาตจะต้องดำเนินการยังมีรายละเอียดที่ต้องทะลุให้ได้อยู่หลายข้อ
ในการดำเนินการต่อนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยซึ่ง กสทช. เองอาจจะต้องมีการตั้งคณะทำงาน หรืออนุกรรมการเพื่อจัดทำมาตรการ แนวปฏิบัติ หรือคณะทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรการทางเทคนิคที่มีการพูดถึงหลายประเด็นทั้งเรื่องการขยายเครือข่าย การสร้างและใช้โครงสร้างพื้นฐานทั้งในแง่คลื่น สถานีฐาน ซึ่งอาจมีระบุในภาพรวมเพื่อคงมาตรฐานบริการที่ไม่ด้อยกว่าเดิม แต่ในความเป็นจริงต้องถูกนำไปปฏิบัติและตรวจสอบอย่างเข้มข้น

รวมไปถึงเรื่องการบริการผู้ใช้บริการตามที่มาตรการท้ายมติกำหนดไว้โดยละเอียดทั้งศูนย์บริการ การคงแบรนด์ให้ผู้บริโภคมีทางเลือก หรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ ระดับ Call Center อีกทั้งเรื่องกลไกควบคุมราคา การจัดส่งรายงานและการเฉลี่ยราคาใหม่ ด้วยการถ่วงน้ำหนักตามจำนวนผู้ใช้บริการในแต่ละรายการส่งเสริมการขาย ซึ่งกำหนดกรอบเวลา 90 วันต่อจากนี้ ทั้งต้องมีการทำ Average Cost Pricing การต้องจัดทำรายงานโดยที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญด้านการสอบทานโครงสร้างต้นทุน อัตราค่าบริการ หรือข้อมูลด้านอัตราต่าง ๆ ของอุตสาหกรรม

ประเด็นที่ 2 ข้อปฏิบัติที่เอกชนเห็นว่าปฏิบัติไม่ได้หรือไม่เป็นธรรมก็อาจร้องแย้งมติ นายสืบศักดิ์ แสดงความเห็นว่า ข่าวจากหน้าสื่ออาจจะทำให้เราทราบเพียงมุมขององค์กรบางแห่งอาจไม่พอใจต่อการตัดสินใจตามมติ กสทช. ด้วยแง่มุมใดก็เเล้วแต่และอาจพึ่งกระบวนการยุติธรรม แต่ในอีกแง่มุมนึงฝั่งผู้ประกอบการก็อาจจะเห็นว่า มาตรการเเละเงื่อนไขที่กำหนดท้ายมตินั้น อาจปฏิบัติไม่ได้หรือไม่สมเหตุสมผลได้เช่นกัน ซึ่งในมุมนี้ฝั่งผู้ประกอบการก็อาจจะรอเอกสารการเเจ้งมติ และรายละเอียดจากสำนักงาน กสทช. เพื่อพิจารณา เนื่องจากดังที่กล่าวมาเงื่อนไขหลายข้อก็ขัดกับเหตุผลและวัตถุประสงค์ของการควบรวมกิจการเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้า และแข่งขันได้ แต่อาจเป็นภาระเกินควรต่อการควบรวม และอาจจะแย้ง หรือแม้แต่ฟ้องเพื่อยับยั้งได้เช่นกันหากมองว่าได้รับผลกระทบ หรือไม่เป็นธรรม ซึ่งต้องไม่ลืมว่าในตลาดก็ยังมีคู่แข่งที่ต้องแข่งขันด้วยอยู่

ประเด็นที่ 3 ความเห็นและข้อกังวลที่เกิดหลังมติ กสทช. 20 ตุลาคม 2565 โดยระบุว่า แม้จะมีความชัดเจนจากการตอบข้อสอบถามของ กสทช. จากสํานักงานกฤษฎีกา ถึงกรอบอำนาจของ กสทช. โดยเฉพาะประเด็นอำนาจตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศ ฉบับปี 2561 จนเกิดการลงมตินั้น มีประเด็นต่าง ๆ ที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจสำหรับผู้สนใจดังนี้


หลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องความหมายตามเจตนารมณ์ของ ประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม ปี 2549 เเละ ประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศ ปี 2561 โดยเฉพาะประเด็นที่หยิบยกว่า “ที่ประชุมเห็นว่าการรวมธุรกิจกรณีนี้ ไม่เป็น การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกับตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. 2549” โดยคนไปเข้าใจและขยายความว่า ก็เป็นธุรกิจเดียวกัน เเล้วทำไมถึงบอกว่า ไม่เป็น การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียว จนมีการนำไปขยายความจากการเข้าใจแค่รูป “ประโยค” แต่ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของ “ประกาศ” กันมาก

กล่าวคือ การที่ กสทช. มีอำนาจในการกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตในกิจการโทรคมนาคม และเป็นธรรมดาของภาคธุรกิจที่อาจมีการ จัดตั้ง เลิก ขยาย ยุบ หรือรวมกิจการ ซึ่งหากเป็นผู้รับใบอนุญาตก็ต้องดำเนินการแจ้งให้องค์กรกำกับทราบ ซึ่งฝั่งองค์กรกำกับอย่าง กสทช. นั้น ก็มีประกาศแต่ละฉบับเพื่อใช่ในการพิจารณาและดูแลกิจการแยกตามกรณีกันไป ในกรณีประกาศฉบับปี 2549 นั้น ว่าด้วยเรื่องการเข้าซื้อกิจการของผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกันตั้งแต่ 10% ขึ้นไปจนอาจมีอำนาจในการกำกับควบคุมในกิจการของผู้ประกอบการอีกราย โดยอาจจะเป็นไปได้ทั้งเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ดี อันอาจนำไปสู่การไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน ทั้งนี้กรณีดังกล่าว บริษัทที่เข้าไปซื้อ และถูกซื้อ อาจจะยังอยู่ในตลาดทั้ง 2 ราย อาทิ แบรนด์ A ซื้อ แบรนด์ B มีอำนาจในแบรนด์ B เเละทั้ง A และ B ยังอยู่ในตลาด นายสืบศักดิ์ ระบุว่า กรณีแบบนี้มีตัวอย่างเเละการเกิดให้เห็นในอุตสาหกรรมอื่นทั้ง โรงพยาบาล พลังงาน สามารถไปศึกษาดูได้

ดังนั้นประกาศฉบับปี 2549 คำว่า “การรวมธุรกิจในกรณีนี้ ไม่เป็น การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน” จึงมาจากกรอบการพิจารณาดังกล่าว แต่การ “ควบรวม” ตามที่เอกชนเสนอมานี้เป็นการรวม A+B เกิดเป็น C หรือเรียกว่า Amalgamation จึงใช้อำนาจและกรอบการพิจารณาตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม และให้พิจารณาดำเนินการตามประกาศ ปี 2561 จริง ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจไม่ยาก แต่หากขาดความเข้าใจในองค์รวม บริบทและกระบวนการก็จะสับสน และไม่แปลกที่แม้แต่นักวิชาการที่ไม่คุ้นชินกับระเบียบต่าง ๆ ของ กสทช. ก็อาจไม่ทราบหรือไม่เข้าใจได้เช่นกัน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

‘ฮุน เซน’ ไลฟ์สดกล่าวถึงปัญหาไทย-กัมพูชา

พนมเปญ 27 มิ.ย. – วันนี้นายฮุนเซน ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กแต่เช้า พูดถึงเรื่องปัญหาความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา สรุปประเด็นได้ดังนี้ 7. ประเด็นอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นายฮุน เซนกล่าวว่า เมื่อตอนที่เดินทางมาเยี่ยมนายทักษิณที่ประเทศไทย เห็นกับตาว่า เวลานายทักษิณจะถ่ายรูปด้วยกัน ต้องหยิบปลอกคอทางการแพทย์มาสวมก่อน พอถ่ายรูปเสร็จก็ถอดออก แล้วไปกินข้าวด้วยกันเป็นปกติ 8.นายฮุน เซนระบุว่า กัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติดูหมิ่นกองทัพหรือผู้นำกองทัพ และนายฮุน เซน ถือว่าการกระทำของนางสาวแพทองธาร ต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ถือเป็นการหมิ่นเบื้องสูง.-810.-สำนักข่าวไทย

เช็กโผ ครม.ล่าสุด นายกฯ นั่งควบ รมว.วัฒนธรรม

ทำเนียบฯ 27 มิ.ย. – คืบหน้า ครม.ใหม่ นายกฯ นั่งควบ รมว.วัฒนธรรม โยก “สุดาวรรณ” นั่ง รมว.อว. ขณะที่ หลานชาย สุริยะ “พงศ์กวิน” นั่ง รมว.แรงงาน ความคืบหน้าในการปรับคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ชุดใหม่ ล่าสุดมีรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว โดยโผ ครม.ล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะไปดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไปดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ควบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจักรพงษ์ แสงมณี จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ […]

เร่งหาทอง 38 บาท หลังคนร้ายจบชีวิต หนีความผิด

ชลบุรี 27 มิ.ย. – คนร้ายบุกชิงทอง 38 บาท กลางห้างดังชลบุรี โดดคอนโด หนีความผิด หลังก่อเหตุ 2 ชม. ค้นบ้านเจอเอกสารทวงหนี้จำนวนมาก ตำรวจเร่งหาที่ซ่อนทอง ช่วงสายวานนี้ ประมาณ 09.30 น. เกิดเหตุคนร้าย เป็นชาย สวมเสื้อแขนยาวสวมหมวกใส่แมสก์ปิดบังใบหน้า เข้ามาใช้ปืนจี้พนักงานก่อเหตุชิงทอง ห้างทองภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง สาขาบ้านสวน อำเภอเมืองชลบุรี ได้ทองรูปพรรณไปทั้งหมดรวม 38 บาท ซึ่งขณะหลบหนี ดาบตำรวจสมปอง ฟองดา ผบ.หมู่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 2 เห็นเหตุการณ์พอดี พยายามกระโดดขวางและเข้าชาร์จตัวผู้ก่อเหตุ จังหวะนั้นผู้ก่อเหตุ ได้ยิงเพื่อเปิดทางหนึ่งนัด กระสุนโดนหมวกกันน็อกดาบตำรวจสมปอง จนเป็นรู และสามารถแย่งปืนมาได้ แต่ไม่สามารถจับตัวได้ คนร้ายวิ่งหนีออกจากห้างไปอย่างรวดเร็วตำรวจในพื้นที่เร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามเส้นทางหลบหนี แต่ผ่านไปเพียง 2 ชั่วโมง ประมาณ 11.30 น. ตำรวจ สภ.ดอนหัวฬ่อ ได้รับแจ้งคนตกจากคอนโดมีเนียม จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมกู้ภัย […]

พบระเบิดอีกที่หาดสุรินทร์

ภูเก็ต 27 มิ.ย.-พบระเบิดอีก 1 ชุดที่หาดสุรินทร์ จ.ภูเก็ต ชุด EOD เข้าทำลายแล้ว เร่งค้นหาว่ามีจุดวางระเบิดอีกหรือไม่ หลังคนร้ายรับสารภาพวางระเบิดไว้ที่หาดสุรินทร์ 2 จุด ภายหลังจากตำรวจจับผู้ต้องหาลอบวางระเบิดสถานที่ท่องเที่ยวทั้งที่จังหวัดภูเก็ตและกระบี่ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ยังได้วางระเบิดไว้ที่หาดสุรินทร์ 2 จุด คือที่บริเวณหาดสุรินทร์ ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ใกล้กับสถานที่กำลังก่อสร้าง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ชุด EOD ตำรวจภูธรภาค 8 ชุดสืบสวนภาค 8 ชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชิงทะเล เจ้าหน้าที่ อบต.เชิงทะเล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณหาดสุรินทร์ พร้อมอุปกรณ์และเครื่องมือสแกนหาวัตถุต้องสงสัย และเครื่องตรวจจับโลหะ และตรวจพบวัตถุต้องสงสัย 1 ชุด ถูกฝังไว้ใต้ต้นไม้ ใกล้ห้องน้ำ บริเวณที่กำลังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์หาดสุรินทร์ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง และเจ้าหน้าที่ EOD ใช้ยุทธวิธีในการทำลาย อย่างไรก็ตามขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังค้นหาว่าจะมีจุดวางระเบิดอีกหรือไม่ เพราะจากคำสารภาพของผู้ต้องหา ระบุว่า มีการนำวัตถุต้องสงสัยมาวางไว้ […]

ข่าวแนะนำ

เพลิงไหม้หอพักพยาบาล รพ.ศิริราช

กทม. 29 มิ.ย. – เพลิงไหม้ภายในหอพักพยาบาล รพ.ศิริราช เจ้าหน้าที่คุมเพลิงได้แล้ว ช่วยผู้ติดค้างออกมาได้อย่างปลอดภัย วันที่ 29 มิถุนายน 2568 เวลา 12.30 น. รับแจ้งจากศูนย์วิทยุร่วมไทร เหตุเพลิงไหม้ภายในหอพักพยาบาล (แปดไร่) โรงพยาบาลศิริราช ถนนรถไฟ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยบางขุนนนท์ สปภ.กทม. ถึงที่เกิดเหตุ พบกลุ่มควันจำนวนมากบริเวณชั้นใต้ดิน จึงทำการตรวจสอบและอพยพผู้ที่ติดค้างด้านบนลงมา เวลา 12.55 น. พบจุดต้นเพลิงบริเวณชั้นใต้ดิน เจ้าหน้าที่ดำเนินการใช้น้ำทำการดับ มีผู้ติดค้างภายในลิฟต์ชั้นที่ 12 เจ้าหน้าที่และช่างลิฟต์ประจำอาคาร ได้ทำการช่วยเหลือออกมาได้อย่างปลอดภัย เวลา 13.04 น. เพลิงสงบ .-สำนักข่าวไทย

กองกำลังบูรพา ผ่อนผันให้รถขนส่งสินค้าผ่านแดน

29 มิ.ย.- กองกำลังบูรพา ผ่อนผันให้รถขนส่งสินค้า ผ่านเข้า-ออก 3 ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยจำกัดเวลา-จำนวนคัน เริ่มวันนี้ (29 มิ.ย.) และให้แล้วเสร็จใน 7 วัน ลดผลกระทบความเดือดร้อนของประชาชนตามหลักมนุษยธรรม กองกำลังบูรพา ออกประกาศ เรื่อง การควบคุมด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 1. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาตรวจราชการ และประชุมหารือประเด็นผลกระทบมาตรการการควบคุมด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 โดยให้หน่วยงานความมั่นคง ประชุมหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการควบคุมชายแดน และที่ประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ได้มีมติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ให้มีการผ่อนผันให้รถขนส่งสินค้าไทยที่ตกค้าง และรถขนส่งสินค้าตามใบขนสินค้าขาออก หรือใบขนสินค้าผ่านแดน ที่ได้ส่งข้อมูลเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร ก่อนวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ข้ามไปยังกัมพูชาและกลับเข้ามายังราชอาณาจักรไทย 2. เพื่อเป็นการลดผลกระทบความเดือดร้อนของประชาชนตามหลักมนุษยธรรม และเพื่อให้การปฏิบัติการควบคุมสอดคล้องกับการดำเนินการตามข้อ 1 กองกำลังบูรพา จึงขอประสานให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้2.1 ให้ผ่านเข้า-ออก ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท ได้วันละไม่เกิน […]

นายกฯ นำรายชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว

เพื่อไทย 29 มิ.ย. – โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยนายกฯ นำชื่อ ครม. ขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว รอหารือที่ประชุมพรรค 3 ก.ค.นี้ หลังมี สส.อีสาน ทวงเก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 2 นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสำคัญ ทราบว่าทางทำเนียบรัฐบาลได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว ขอให้รอขั้นตอนต่อไปว่าจะมีการโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อใด ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่า สส.ภาคอีสานพรรคเพื่อไทยทวงโควตาเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 หลังผิดหวังจากโผ ครม. นายดนุพร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกัน ซึ่งในการปรับคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง ทุกพรรคมีแรงกระเพื่อมหมด ซึ่งแน่นอนว่ามีคนอยากเข้าไปทำงานเป็นเรื่องปกติ โดยในวันที่ 2 ก.ค.นี้ จะมีการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 3 ก.ค. จะมีการพูดคุยถึงขั้นตอนหลายๆ อย่าง ส่วนเรื่องการเลือกรองประธานสภาฯ คนใหม่ ได้รับแจ้งว่าน่าจะก่อนวันที่ 15 ก.ค. ส่วนพรรคเพื่อไทยจะส่งใครเป็นตัวแทน […]

ปชน.ประณามแกนนำม็อบปราศรัยเจตนาปูทางรัฐประหาร

พรรคประชาชน 29 มิ.ย.-พรรคประชาชน ประณามแกนนำผู้ชุมนุมปราศรัยปลุกปั่นชาตินิยม เจตนาปูทางรัฐประหาร ย้ำทางออกจากวิกฤตการเมือง คือ ยุบสภา เปิดทางเลือกตั้งใหม่  พรรคประชาชนแสดงความเห็นถึงการชุมนุมเมื่อวานนี้ (28 มิ.ย.) ว่า ความเห็นของพรรคประชาชนต่อการชุมนุมของ “คณะรวมพลังแผ่นดิน” การชุมนุมที่นำโดย “คณะรวมพลังแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้จะมีข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการให้นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลาออก และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องตามปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่ปรากฏว่า การปราศรัยของแกนนำบนเวทีบางคนกลับมีเนื้อหาที่เปิดทางให้กับการรัฐประหาร รวมถึงมีการปลุกปั่นกระแสชาตินิยมที่เกินเลยขอบเขต  พรรคประชาชนขอประณามการสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง  พรรคประชาชนขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนที่สนับสนุนการชุมนุมด้วยความไม่พอใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ถอนตัวจากการสนับสนุนคณะรวมพลังแผ่นดิน ที่มีแกนนำบางคนมีเจตนาสนับสนุนการรัฐประหารและการแทรกแซงการเมืองด้วยวิถีทางนอกประชาธิปไตย เพราะแม้ว่าการแสดงออกทางการเมืองด้วยการชุมนุมประท้วงจะเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่พวกเราคนไทยต่างได้รับบทเรียนอย่างดีแล้วว่า 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศชาติและประชาชนบอบช้ำเสียหายอย่างไม่อาจประเมินได้จากการรัฐประหาร 2 ครั้ง และปัญหาการเมืองของเราไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิถีทางนอกประชาธิปไตย ผลพวงจากการรัฐประหารกลับซ้ำเติมปัญหาการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล การคอร์รัปชัน กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว และการเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องและกลุ่มทุนผูกขาดเสียด้วยซ้ำ วันนี้เราต้องไม่ยินยอมให้ใครฉวยโอกาสเอาความผิดพลาดล้มเหลวของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล มาเปิดทางให้กับการรัฐประหารหรือการแก้ปัญหาการเมืองด้วยวิถีทางที่ขัดต่อประชาธิปไตยอีก ซึ่งมีแต่จะก่อวิกฤตซ้ำซ้อนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น พรรคประชาชน ขอยืนยันว่า ทางออกจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ที่ดีที่สุด คือหนทางปกติตามระบบรัฐสภา […]