สำนักข่าวไทย 24 ส.ค. – รู้หรือไม่ประเทศไทยเคยมีเรือดำน้ำที่ปลดประจำการแล้วด้วยเราจะมาทำความรู้จักกับเรือดำน้ำของไทยที่ปลดประจำการไปแล้ว
เรือดำน้ำเป็นกำลังรบที่ทรงอานุภาพทางทะเลมากที่สุด เพราะสามารถกำบังตัว หรือหลบหนีด้วยการดำน้ำ สามารถเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ซึ่งเรือผิวน้ำไม่สามารถเข้าไปได้
จุดเริ่มต้น
เริ่มมาจาก โครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ.2453 โดยโครงการนี้มีคณะกรรมการประกอบด้วย นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ นายพลเรือตรี พระยาราชวังสรรค์ และ นายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่น สิงหวิกรมเกรียงไกร ซึ่งทรงยศในเวลานั้น ได้จัดทำโครงการขึ้นถวาย สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิจ เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งได้ทรงนำทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 มกราคม ร.ศ.129 (พ.ศ.2453) โดยในรายงานได้เสนอความต้องการ เรือ ส. จำนวน 6 ลำ แต่เนื่องจากว่าสภาวะเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น ไม่เอื้ออำนวยให้กองทัพเรือจัดซื้อหรือสร้างเรือดำน้ำมาไว้ใช้ในราชการได้
ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความฝันของกองทัพเรือ ที่จะได้มีเรือดำน้ำ ไว้ใช้ในราชการ จึงเป็นจริง โดยสภาผู้แทนราษฎรขณะนั้น ได้อนุมัติ พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.2478 โดยในพระราชบัญญัตินี้ ได้กำหนดให้กองทัพเรือ ต่อเรือดำน้ำ จำนวน 6 ลำ โดยในที่สุดแล้ว ไทยได้ทำสัญญาว่าจ้างต่อเรือ กับ บริษัท มิตซูบิชิ ประเทศญี่ปุ่นให้ต่อเรือดำน้ำ ขนาด 370 ตัน จำนวน 4 ลำ เป็นเงิน ลำละ 820,000 บาท และได้รับพระราชทานชื่อในภายหลังว่า
-เรือหลวงมัจฉาณุ (หมายเลข 1)
-เรือหลวงวิรุณ (หมายเลข 2)
-เรือหลวงสินสมุทร (หมายเลข 3)
-และ เรือหลวงพลายชุมพล (หมายเลข 4)
โดย เรือหลวงมัจฉาณุ และ เรือหลวงวิรุณ สร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อนทางญี่ปุนจึงได้ส่งมอบเรือทั้งสองลำให้แก่ราชนาวีไทย ในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.2480 และด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวกองทัพเรือ จึงได้ถือเอาวันที่ 4 กันยายนของทุกปี เป็น “วันเรือดำน้ำไทย”
เรามาดูเรือดำน้ำในแถบประเทศอาเซียนกัน
- ประเทศไทย เคยมีเรือดำน้ำซึ่งเป็นชาติที่ 2 ในเอเชียแต่เป็นชาติแรกในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการได้แก่เรือหลวงมัจฉาณุ,เรือหลวงวิรุณ,เรือหลวงสินสมุทรและเรือหลวงพลายชุมพล โดยทั้ง 4 ลำได้ปฏิบัติการในอ่าวไทยหลายครั้งตั้งแต่สงครามอินโดจีน ทั้งการรับและส่งสายลับพลพรรคขบวนการเสนีไทยและการโจมตีเรือของฝ่ายอักษะด้วยตอร์ปิโด ต่อมาได้ปลดประจำการแล้วทุกลำในปี พ.ศ. 2494 เนื่องด้วยอายุการใช้งาน ความปลอดภัยและเทคโนโลยีการดำน้ำ
- ประเทศสิงคโปร์ เป็นชาติที่สองในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการ ซึ่งแม้จะเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่สิงคโปร์ก็ตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของโลก คือช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นทางผ่านที่สำคัญของการเดินเรือจาก กองทัพเรือสิงคโปร์มีการพัฒนาที่ก้าวหน้า ไกลกว่าชาติอื่นๆในภูมิภาคนี้ และเริ่มโครงการเรือดำน้ำมือสองจากสวีเดน ชั้นซยอร์แมน จำนวน 4 ลำ เรือทั้ง 4 ลำ และมีเรือดำน้ำมือสองชั้นอาเชอร์ จากสวีเดน จำนวน 2 ลำ ที่ติดตั้งระบบ AIP ซึ่งล่าสุดก็ได้สั้งซื้อเรือดำน้ำรุ่น Type 218SG จากเยอรมนี จำนวน 2 ลำ โดยจะได้รับมอบในปี 2020
- ประเทศอินโดนีเซีย เป็นชาติที่สามในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการ โดยในทศวรรษที่ 1960 กองทัพมีเรือดำน้ำจากสหภาพโซเวียตหลายประเภททั้งเรือลาดตระเวน เรือพิฆาตรวมทั้งเรือดำน้ำชั้นวิสกี ในทศวรรศที่ 1980 กองทัพเรืออินโดนีเซียสั่งต่อเรือดำน้ำชั้น 209 จาก อดีตเยอรมันตะวันตกจำนวน 2 ลำ และได้ลงนามจัดซื้อและต่อเองในประเทศเรือดำน้ำชั้น 209 มือสอง รุ่นปรับปรุง ในชื่อ U-209 1400 mod จากกองทัพเรือเกาหลีใต้ 3 ลำ และได้วางแผนที่จะต่อเรือดำน้ำเองอีก 9 ลำภายใต้ลิขสิทธิ์ U-209 1400 mod ของเกาหลีใต้
- ประเทศมาเลเซีย เป็นชาติที่สี่ในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการ โดยสั่งต่อเรือดำน้ำชั้นสคอเปเน จำนวน 2 ลำ ซึ่งลำแรกจะต่อที่อู่ ดีซีเอ็น ในประเทศฝรั่งเศส และลำที่สองจะต่อที่อู่เรือของไอซาร์ในประเทศสเปน
- ประเทศเวียดนาม เป็นชาติที่ห้าในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการ เหตุผลที่เวียดนามต้องการเรือดำน้ำเนื่องจากประเทศนี้มีข้อพิพาทกับหลายประเทศทางทะเลเวียดนาม จึงจัดหาเรือดำน้ำจากรัสเซีย จำนวน 6 ลำ
- ประเทศพม่า เป็นชาติที่หกในอาเซียนที่มีเรือดำน้ำเข้าประจำการ โดยได้เรือดำน้ำมือสองจากอินเดีย จำนวน 1 ลำ มาใช้เป็นเรือฝึก
- ประเทศฟิลิปปินส์ วางแผนการจัดหาเรือดำน้ำดีเซลไฟฟ้า เพื่อเข้าประจำการจำนวน 3 ลำ
ขอบคุณข้อมูล : กองเรือดำน้ำ กองเรือยุทธการ
http://www.submarine.navy.mi.th/index.php/history/detail/history_id/2
ขอบคุณภาพจาก : ห้องวิจัยประวัติศาสตร์ https://bit.ly/3aT8Vxl
