“ภูมิธรรม” อำลากลาโหม ทิ้งทวนเซ็นเรือดำน้ำ

กลาโหม 2 ก.ค.- “ภูมิธรรม” เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกลาโหม อำลาตำแหน่ง ขอบคุณที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวทหาร ทิ้งทวนเซ็นเรือดำน้ำ ส่วนกริพเพน รอ รมว.กลาโหม คนใหม่ แจงยังไม่มีรัฐมนตรีว่าการ รอคนเหมาะสม เผยเข้ามหาดไทยศุกร์นี้


นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมายังศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม เวลา 09.00 น. เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงฯ ทั้ง 7 จุด เช่น อารักขเทวสถาน เจ้าพ่อหอกลอง พระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นต้น ซึ่งเป็นการอำลาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นการอำลาตามสถานการณ์ เพราะได้การโปรดเกล้าฯ แล้ว เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพียงแต่ยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ เพราะต้องรอเข้าเฝ้าถวายสัตย์ในวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้นจะมีการประชุม ครม.นัดพิเศษแล้ว ก็คงจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ ซึ่งในฐานะที่อยู่ที่นี่มา 9 เดือน ก็ยังรู้สึกว่าเร็วไปหน่อยกำลังเข้าใจ รับทราบ และเห็นปัญหา เห็นศักยภาพที่จะมาช่วยแก้ปัญหาให้ดีขึ้น ซึ่ง 9 เดือน ที่มาอยู่ก็เข้าใจ และมีส่วนทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ทุกอย่างที่เราทำก็ไปในทิศทางที่คิดว่าเป็นประโยชน์หลายเรื่องได้เริ่มก่อให้เห็นโดยเฉพาะการดูแลสวัสดิการของทหารชั้นผู้น้อย และทหารทั้งหมดของกองทัพในเรื่องที่เป็นขวัญกำลังใจ ในฐานะที่กองทัพเป็นด่านแรกที่ต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ และยังช่วยเหลือประชาชน ก็ขอบคุณทุกอย่างที่ได้ช่วยและสนับสนุนมา ดีใจและขอบคุณที่ได้รับการต้อนรับและเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกลาโหม ครอบครัวของทหาร ที่ผ่านมาก็ได้ทำไปแล้วหลายเรื่อง อย่างเรื่องที่ค้างค้างเป็นปัญหา เช่น เรือดำน้ำ ก็เซ็นเข้าไปที่คณะรัฐมนตรีแล้ว รอบรรจุวาระ ไปผ่านรองนายกฝ่ายความมั่นคง ส่วนที่ยังเหลืออยู่ เช่น การทำบ้านพักอาศัย การปรับกำลังพล ซึ่งตนมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งต่างๆ ที่วางไว้น่าจะประสบความสำเร็จได้ เพราะพบว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ มีมายด์เซ็ตที่เข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะฉะนั้นการปรับกำลังพลให้มีขนาดเล็กลง มีประสิทธิภาพ และมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในสมัยใหม่ ก็เป็นสิ่งที่จะถูกปูทางและดำเนินการต่อไป โดยเรื่องเหล่านี้ได้คุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ ในวันที่ประชุมสภากลาโหมแล้ว และทางกลาโหมเองก็คงจะดำเนินการจัดการต่อไป


นอกจากนี้ ยังได้คุยกับพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แล้วว่าอะไรที่ทำอยู่ก็ให้ทำไป ส่วนเรื่องชายแดนกัมพูชาก็ยังไม่ทิ้ง ยังให้หลักการไป คิดว่าจะพยายามถึงที่สุดให้เกิดผลสำเร็จ ตามที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่อยากเห็นการใช้กำลังในการสู้รบ แต่อยากเห็นการจบลงด้วยสถานะเดิมที่เคยมี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่อง 2 ฝ่ายต้องใช้เวลาพูดคุย และมีกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศที่จะกำหนด

นายภูมิธรรม ยอมรับว่า เรื่องเรือดำน้ำเซ็นเรียบร้อยแล้ว แต่โครงการจัดซื้อเครื่องบินกริพเพน เซ็นไม่ทัน ก็ต้องให้รัฐมนตรีใหม่เข้ามาดำเนินการ ซึ่งเรื่องเรือดำน้ำก็ต้องผ่านรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็คือตน เพราะเรื่องนี้เซ็นออกไปแล้วตั้งแต่ก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน

ส่วนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เวลาที่บ้านเมืองมีความสับสนหรือมีความไม่ชัดเจน การก่อความไม่สงบก็จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งตนมีกรอบที่จะดำเนินการในเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว คงจะเสนอรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และประสานต่อในส่วนต่างๆ ยืนยันจะทำต่อ และบอกพลเอกณัฐพล ไปแล้ว ว่าเรื่องนี้ทำต่อเลย เพราะมันเป็นการรวบรวมความเห็นมาจากหลายหน่วย ทำให้มองในทุกมิติ และเชื่อว่าการแก้ปัญหาครั้งนี้จะมีเรื่องใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ทำ และน่าจะแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้นได้และเร็วที่สุด


ส่วนกรณีเว้นว่างตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นเพราะเหตุใด นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มีข้อสงสัย ก็เป็นเรื่องความเหมาะสม คงเป็นเรื่องที่ทางราชการไม่อยากจะพูด ก็ถือว่าทำทุกอย่างให้อยู่ในกลไกที่ทุกคนสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่

เมื่อถามย้ำว่า ตำแหน่งนี้เป็นโควตาของพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม บอกว่า ที่ผ่านมาเคยเป็นของพรรคเพื่อไทยรับผิดชอบ ตอนนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ได้คิดว่าต้องเป็นเพื่อไทยหรือไม่เป็นเพื่อไทย ตอนนี้ที่สำคัญคือรัฐมนตรีกลาโหมที่มีศักยภาพ มีความสามารถ เชื่อมโยงกับเหล่าทัพต่างๆ ได้อย่างดี และสามารถทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศ และทำหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมอย่างสุดความสามารถ

ส่วนที่มีข่าวว่าจะได้รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ในช่วง 3 เดือนนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าข่าวลือที่ยังไม่รู้ ก็อย่าเอามาถามตน เพราะมันลอยๆ แต่ย้ำว่าการตัดสินใจก็ต้องพยายามเลือกคนที่เหมาะสมที่สุด อย่างตนก็ยังดูด้านดีด้านลบ มนุษย์ไม่มีอะไรที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าตราบใดเข้ามาทำงานได้ ซื่อสัตย์สุจริต ก็ไม่มีปัญหา ถ้าตราบใดทำงานแล้วมีข้อสงสัย ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ได้ก็ไม่มีปัญหา พิสูจน์ไม่ได้ก็ต้องรับภาระตามสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ

สำหรับการเข้าทำงานในกระทรวงมหาดไทย นายภูมิธรรม บอกว่า จะเข้าไปวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม ประมาณ 10.00 น. เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง และพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง ส่วนการมอบนโยบายคงเป็นตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่เรื่องใหญ่ๆ สำคัญ ตนคิดไว้แล้ว ซึ่งจะพูดคุยให้เข้าใจกันจะได้ทำงานได้อย่างราบรื่น พร้อมย้ำว่าตนยังรับผิดชอบงานความมั่นคงทั้งหมด และเพิ่มเติมคือกระทรวงมหาดไทย-313 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ศาล รธน. นัดชี้ชะตา “แพทองธาร” คดีคลิปเสียง “ฮุนเซน” 29 ส.ค.นี้

ศาล รธน. 13 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ นัดชี้ชะตา “แพทองธาร” คดีคลิปเสียง “ฮุนเซน” 29 ส.ค.นี้ เปิดให้เจ้าตัวเข้าไต่สวนพร้อมเลขาฯ สมช. 21 ส.ค. ไม่มาถือว่าไม่ติดใจ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กรณีปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้อง แถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุน เซน จริง แม้ น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้อง แถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า น.ส.แพทองธาร แสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 […]

ทบ.แจงปมขอรับบริจาคลวดหนาม จำเป็นต้องใช้เร่งด่วน

กองทัพบก 13 ส.ค.- โฆษก ทบ. แจงกองทัพภาค 2 ขอรับบริจาค “ลวดหนามหีบเพลง” เหตุจำเป็นต้องใช้เร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยกำลังพล สกัดการลักลอบเข้าพื้นที่ของทหารกัมพูชา ชี้หากรอกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ใช้เวลา 1 เดือน ย้ำรัฐบาล-กองทัพ มีงบประมาณเพียงพอ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ขอให้กองทัพภาคที่2 หยุดรับบริจาคลวดหนามหีบเพลงจากประชาชน และให้มาขอกับรัฐบาลว่า ยืนยันรัฐบาลและกองทัพมีงบประมาณเพียงพอ แต่ติดขัดในกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน และหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบ อาจทำให้ผู้จัดซื้อมีความผิด ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องใช้ลวดหนามหีบเพลงทันที โดยเฉพาะ 4 จังหวัดชายแดน “อุบลฯ-ศรีสะเกษ-สุรินทร์-บุรีรัมย์” จึงต้องขอรับการสนับสนุนจากประชาชน “การจัดซื้อต้องเป็นไปตามระเบียบราชการ แต่วิธีจัดหาใช้แบบพิเศษได้ แต่ก็ใช้เวลาเป็นเดือน ที่สำคัญ กรณีลวดหีบเพลงสเปกที่ทหารใช้ ไม่มีในท้องตลาดต้องสั่งผลิตจึงใช้เวลานานขึ้นไปอีก ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ งบประมาณมีอย่างเพียงพอ มีแค่เรื่องเวลา” โฆษก ทบ. กล่าวและว่า […]

โรงเรียน-โรงพยาบาลในอุบลฯ เปิดวันแรก หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

13 ส.ค. – ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ (13 ส.ค.) ยังปกติ ชาวบ้านติดชายแดนต่างวิตก หวั่นเกิดการปะทะ จึงเก็บสัมภาระเตรียมพร้อมหากต้องอพยพออกจากพื้นที่ ส่วนโรงเรียน-โรงพยาบาล ใน จ.อุบลราชธานี เปิดวันแรก ทำเอาชาวบ้านอยู่ไม่ได้ หลังมีกระแสข่าวว่าจะเกิดการยิงกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนชาวบ้านต้องขนของอพยพออกจากบ้านกลางดึก เพื่อมาตั้งหลักในตัว อ.กันทรลักษ์ แต่หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจึงเดินทางกลับเข้าบ้านเรือน แต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ ออกไปพักบ้านญาติพี่น้องต่างอำเภอ สำหรับสถานที่ราชการในตัว อ.กันทรลักษ์ วันนี้ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ส่วนโรงเรียนบางแห่งประกาศให้เรียนทางออนไลน์แทน เพื่อความปลอดภัย โรงเรียนชายแดน จ.สุรินทร์ ปิดต่อ ให้เรียนออนไลน์เช่นเดียวกับ จ.สุรินทร์ โรงเรียนชายแดนยังปิดต่อ และให้เรียนออนไลน์แทน เพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนผู้ปกครองกังวลถ้ายังเปิดเรียนในช่วงสถานการณ์ยังไม่สงบและไม่ปลอดภัย 100% ส่วนในพื้นที่ อ.พนมดงรัก โรงเรียนประถมฯ บางโรงประกาศให้มีการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ช่วงวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ และมีบางโรงเรียนที่กลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้ว แต่ไม่บังคับว่านักเรียนต้องมาเรียนทุกคน โดยมีการแจ้งใน LINE กลุ่มผู้ปกครองว่าหากผู้ปกครองท่านใดยังมีความกังวลใจก็อนุญาตให้เด็กลาได้ ส่วนชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ […]

South Korea Leader and wife at Presidential plane Apr 2023

เกาหลีใต้จับอดีตสตรีหมายเลข 1

โซล 13 ส.ค.- นางคิม คอน ฮี อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ ถูกควบคุมตัวตามที่ศาลออกหมายจับเมื่อค่ำวานนี้ หลังจากอัยการยื่นขอหมายจับเพราะเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวนในคดีที่ถูกกล่าวหาหลายคดี นางคิม ซึ่งจะมีอายุครบ 53 ปีในเดือนกันยายน เป็นอดีตสตรีหมายเลข 1 คนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุม ขณะที่สามีของเธอ คือ อดีตประธานาธิบดียุน ซอก ยอล วัย 64 ปี กำลังถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดี หลังจากถูกถอดถอนจากตำแหน่งกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปลายปี 2567 ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันนางคิมได้โค้งคำนับและไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวขณะเดินทางถึงศาล จากนั้นไปรอฟังคำตัดสินที่สถานกักขังในกรุงโซลตามธรรมเนียมปฏิบัติของเกาหลีใต้ โฆษกคณะอัยการพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อต้นเดือนมิถุนายนแถลงว่า อัยการยื่นขอหมายจับนางคิม เนื่องจากเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวน สำนักข่าวยอนฮับของทางการเกาหลีใต้รายงานว่า ศาลอนุมัติหมายจับตามคำแถลงเรื่องเธอมีความเสี่ยงที่จะทำลายหลักฐาน อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ถูกตั้งข้อหาหลายคดี ตั้งแต่การปั่นหุ้นไปจนถึงการรับสินบนและการใช้อิทธิพลแทรกแซงอย่างผิดกฎหมายที่พัวพันกับเจ้าของธุรกิจ บุคคลทางศาสนา และผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เธอถูกกล่าวหาว่า ทำผิดกฎหมายเรื่องสร้อยคอประดับจี้ยี่ห้อหรูที่สวมไปร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่สเปน พร้อมกับสามีในปี 2565 เนื่องจากไม่ได้แจ้งรายการทรัพย์สินจี้ดังกล่าวที่มีข่าวว่าราคาสูงกว่า 60 ล้านวอน (กว่า 1.4 ล้านบาท) เธอให้การกับอัยการว่าเป็นของปลอมที่ซื้อในฮ่องกงเมื่อ […]