“จีน-อินเดีย-บาห์เรน” ขุมทรัพย์ส่งออกเอสเอ็มอีไทย 

กรุงเทพฯ 26 ส.ค. – “จีน-อินเดีย-บาห์เรน” ตลาดศัยกภาพสูง โอกาสใหม่ของการส่งออกสินค้าไทย สร้างรายได้ในระยะยาว สสว.- ส.อ.ท. ร่วมกันจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจเปิดประตูให้เอสเอ็มอีไทยเจาะตลาดการค้าในต่างประเทศ พร้อมจัดสัมมนา ให้คำปรึกษาปรับภาพลักษณ์สินค้าแก่ผู้ประกอบการ และทดลองแสดงสินค้าจริงในประเทศบาห์เรน


นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงได้ร่วมกันจัดโครงการพัฒนาศักยภาพและช่องทางการตลาดเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าสู่ตลาดจีน อินเดีย และบาห์เรน โดยได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดทั้ง 3 ประเทศนี้ โดยมีเป้าหมายในการช่วยเหลือเสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในยุค New Normal ด้วยหาช่องทางการเปิดตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ผ่านพ้นวิกฤตทางการค้า และส่งผลดีต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระยะยาว รวมถึงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

ภายโครงการนี้ได้จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการแบบเข้มข้นใน 3 แนวทางเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาดระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ได้แก่ การจัดสัมมนา-เวิร์คช็อป, กิจกรรมให้คำปรึกษาปรับปรุงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์, กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (ออนไลน์แมชชิ่ง) กับคู่ค้าในแต่ละประเทศ ได้แก่ กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ ตลาดอินเดีย ตลาดจีน ส่วนตลาดบาร์เรน จะแบบเป็น 2 กิจกรรม คือ 1.เจรจาจับคู่ธุรกิจ และ2.การทดลองจัดแสดงสินค้าที่ห้าง Thai Mart ประเทศบาห์เรน (Mini Showcase) ซึ่งผู้ประกอบการจะได้ทดลองจำหน่ายสินค้าจริงในประเทศเป้าหมาย


การจัดโครงการฯ ในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมทั้งหมดจำนวน 100 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่ 1. อาหาร-เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป 2. ของที่ระลึก 3. ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม 4. อัญมณีและเครื่องประดับ โดยคาดการณ์จะมีมูลค่าการเจรจาจับคู่ธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากการจัดโครงการฯ ครั้งนี้ จำนวน 200 ล้านบาท

ทั้งนี้ สสว. และ ส.อ.ท. มีความเห็นตรงกันว่าตลาดประเทศจีน อินเดีย และบาห์เรน จะมีความสำคัญต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอนาคต เนื่องจากประเทศจีนเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีการฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ได้รวดเร็วที่สุด ทำให้ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าการเติบโตของจีดีพีของจีนจะสูงถึง 8.5% ต่อปีในปี 2564 ส่งผลให้ยอดการส่งออกของไทยไปจีนในรอบครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2564) มีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 รวมทั้งยังมีโอกาสขยายการค้าได้อีกมากโดยเฉพาะในกลุ่มของผลไม้ พืชผัก ผลิตภัณฑ์ยางไปจนถึงเครื่องจักรต่าง ๆ

นอกจากนี้ การเปิดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจากเมืองคุนหมิง ในภูมิภาคจีนตอนใต้ มาถึงเมืองเวียนจันทร์ สปป.ลาว ที่จะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมปีนี้ ก็จะเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนได้อีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร เนื่องจากเส้นทางรถไฟสายนี้ที่กรุงเวียงจันทน์ อยู่ใกล้กับชายแดนไทยจังหวัดหนองคาย จะช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งไปจีนตอนใต้เหลือเพียง 1 วัน และลดค่าขนส่งได้มากกว่า 5 เท่าตัว ซึ่งจะเปิดโอการการส่งออกของเอสเอ็มอีไทยได้อีกมหาศาล


ในขณะที่ประเทศอินเดีย ก็เป็นตลาดที่มีอนาคตสูงของไทย เพราะมีประชากรกว่า 1,300ล้านคน และได้รับการคาดหมายว่าในปี 2050 จะกลายเป็นประเทศที่มี GDP สูงกว่า สหรัฐอเมริกา โดยในปัจจุบันอินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 10 ของไทย โดยยอดการส่งออกของไทยไปอินเดียในรอบครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2564) มีมูลค่ากว่า 126,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 54.8%

จากศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทำให้ถูกมองว่าในอนาคตจะเป็นตลาดส่งออกใหม่ของไทยที่จะมีความสำคัญเทียบเท่าจีน เนื่องจากปัจุบันสินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียยังมีปริมาณน้อย ยังเป็นตลาดที่ผู้ส่งออกไม่คุ้นเคยจึงมีโอกาสที่จะเจาะตลาดได้อีกมาก และอินเดียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น แนวโน้มสินค้าส่งออกที่มีแววสดใสคือ อัญมณีและเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์และอินทรีย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว และอุปกรณ์ทางการแพทย์

นอกจากนี้ อินเดียยังมีหลายรัฐทำให้มีความต้องการในการบริโภคที่หลากหลาย และยังเป็นประตูในการส่งออกสินค้าจากไทยไปสู่ประเทศข้างเคียง เช่น ศรีลังกา มัลดีฟส์ รวมทั้งไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศอินเดีย ทำให้มีความได้เปรียบเหนือกว่าประเทศอื่น และที่สำคัญคนอินเดียมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย สินค้าไทยถูกจัดเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง และสามารถเข้าถึงได้

ส่วน ประเทศบาห์เรน เป็นตลาดที่สำคัญของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะเป็นประเทศที่ประชาชนมีกำลังซื้อในระดับสูง เนื่องจากเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ไทยยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-บาห์เรน จึงทำให้สินค้าไทยเสียภาษีในระดับต่ำสร้างความได้เปรียบมากกว่าประเทศคู่แข่ง และทำให้ผู้ประกอบการชาวไทยสามารถเข้าไปทำตลาดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่ม อาหาร สุขภาพ และความงาม ที่ถือได้ว่ามีความต้องการอยู่ในระดับสูง

รวมทั้งบาห์เรนยังสามารถเป็นประตูการค้าและการลงทุนให้ไทยไปตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศในคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council:GCC) ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , กาตาร์ , คูเวต , โอมาน และบาห์เรน รวมถึงแอฟริกาตอนเหนือ เอเชียใต้ และเอเชียกลาง

นอกจากนี้ สสว. และ ส.อ.ท. ยังจะมีการจัดงาน “ไทยทำไทยช้อปไทยใช้” Made in Thailand ผ่านทางเว็บไซต์ Shopee.com ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม -15 กันยายน 2564 งานที่รวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 1,000 รายการ อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ และของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียน สิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม และของขวัญของที่ระลึก พร้อมแจกโค้ดส่วนลดร้านค้ากว่า 50,000 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand ทั้งสิ้น ผู้สนใจสามารถเลือกชม และซื้อสินค้าได้ที่ https://shopee.co.th/mitshopcampaign2021 . – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” นำจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” และภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 เวลา 20.05 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางอภิญญา เวชยชัย ภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกาและคู่สมรส ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และภาคประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง เมื่อรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และภริยา ถึงบริเวณพิธีท้องสนามหลวง ขึ้นสู่เวที รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกา […]

จากแม่ถึงลูกทหารบาดเจ็บ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

ขอนแก่น 12 ส.ค. – ครอบครัวตระกูลบุญธรรมในอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ที่ลูกชายทหารเกณฑ์บาดเจ็บจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แม้สื่อสารกันน้อย แต่ความรักของแม่ลูก ไม่ได้ลดน้อยลง และพร้อมสนับสนุนลูกชายสู่เส้นทางทหารอาชีพตามความตั้งใจ หลังไปเป็นรั้วของชาติ แล้วเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ลั่นพร้อมใช้สิทธิปกป้องกำลังพล-ปรับแผนลาดตระเวน

12 ส.ค.- “แม่ทัพภาค2” ชี้เขมรแอบลอบวางทุ่นระเบิด ละเมิดเงื่อนไขหยุดยิง หวังยั่วยุ พร้อมใช้สิทธิปกป้องคุ้มครองกำลังพล เป็นเรื่องหน้างานไม่เกี่ยวเจรจา เชื่อเขมรไม่ยอมรับตามเงื่อนไขที่ไทยเสนอ เล็งใช้กล้องวงจรปิด ปรับแผนการลาดตระเวน เผยรายงานรัฐบาล-ผบ.ทบ.แล้ว จ่อประท้วงระดับสากล เมื่อวันที่ 12 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.2610 เหยียบกับระเบิดระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาซ้าย 1 นาย คือ ส.อ.ธีรพล เพียขันที ขณะนี้ปลอดภัยแล้ว ซึ่งเหตุเกิดในจุดแนววางรั้วลวดหนามทางด้านทิศตะวันตก ถ้าหันหน้าเข้าเขมรจะอยู่ฝั่งขวาของตัวปราสาท และห่างจากตัวปราสาทประมาณ 1 กิโลเมตร เรียกว่าช่องจุ๊บตาโมก สันนิษฐานว่าเขมรลักลอบมาวางระกับเบิดช่วงที่ถอนกำลังทหารออกไป ซึ่งวันนี้ทหารไปตรวจสอบแนววางลวดหนาม บริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตแดนไทย เป็นเส้นทางที่ใช้ลาดตระเวนประจำอยู่ในฝั่งไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการยั่วยุ ผิดเงื่อนไขการหยุดยิง เพราะการวางทุ่นระเบิด ถือเป็นการยิงเหมือนกัน เราจะมีมาตรการตอบโต้ และรายงานให้รัฐบาลรับทราบตามขั้นตอนแล้ว หลังจากนี้จะนำไปสู่ขั้นตอนการประท้วงในระดับสากล พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ […]

เฉลิมพระเกียรติพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

12 ส.ค. – ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 วันนี้เวลา 12.00 น. ณ ท้องสนามหลวง กองทัพบก โดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ยิงสลุตหลวงจำนวน 21 นัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 โดยกองร้อยปืนใหญ่ยิงสลุต ใช้ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีราบ แบบ 80 ขนาด 75 มิลลิเมตร จำนวน 4 กระบอก ทำการยิงตามจังหวะของเพลงสรรเสริญพระบารมี จำนวน 21 นัด จังหวะ 5 วินาที ทีละกระบอก นับรอบจากขวาไปซ้าย ใช้เวลายิงทั้งหมด 1 นาที 40 […]