fbpx

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ค้านปรับราคารถไฟฟ้าสีเขียว

กรุงเทพฯ 8 ก.พ. – มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค ยื่นหนังสือถึงนายกฯ คัดค้านการขึ้นราคาค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นสูงสุด 104 บาท โดยขอให้ชะลอปรับราคาก่อน 16 ก.พ.นี้ และเปิดสัญญาสัมปทานสายสีเขียวต่อสาธารณะ รวมทั้งทบทวน สัมปทานรถไฟฟ้าทุกเส้น โดยหวังว่านายกรัฐมนตรี จะสั่งชะลอปรับราคาในประชุม ครม.พรุ่งนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564 กรุงเทพมหานคร และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบีทีเอส ประกาศว่าจะปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาฯ-สะพานตากสิน) เป็นสูงสุดไม่เกิน 104 บาท (ชั่วคราว) ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป นั้น

ในวันนี้ (8 ก.พ.) แกนนำมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร และเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คัดค้านการปรับราคาดังกล่าว โดยมีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมรับมอบหนังสือ


นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาส ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ กล่าวว่า  องค์กรผู้บริโภคเห็นว่า การออกประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น เป็นการออกประกาศโดยไม่รับฟังเสียงคัดค้านจากกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง นักวิชาการ และองค์กรผู้บริโภค ถึงประเด็นความไม่โปร่งใส ขัดต่อกฎหมาย ไม่เปิดเผยรายละเอียดสัญญาสัมปทาน ค่าโดยสารแพงเกินไปเป็นภาระของผู้บริโภค เร่งรีบขยายสัญญาสัมปทานให้เอกชนทั้งที่ระยะเวลายังเหลืออีก 9 ปี ซึ่งจะเป็นสร้างภาระผูกพันต่อประโยชน์ของรัฐและประชาชนส่วนรวมต่อเนื่องนานถึง 39 ปี อีกทั้งการประกาศเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานครโดยไม่รอผลการอนุมัติจากมติคณะรัฐมนตรี ยังเข้าข่ายเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ที่ให้กรุงเทพมหานครต้องคำนึงถึงราคาที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค และกำหนดค่าแรกเข้ารถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เหมาะสมเป็นธรรมไม่ให้เป็นภาระต่อผู้บริโภค และขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 มาตรา 96 ที่กำหนดให้การอนุมัติขึ้นราคาต้องผ่านความเห็นชอบของสภากรุงเทพมหานครและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

จากปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงปัญหาการบริหารงานของกรุงเทพมหานครที่ขาดประสิทธิภาพและหลักธรรมาภิบาลต่อรัฐและประชาชน ตลอดจนความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้านการเข้าถึงบริการขนส่งมวลชนที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนของผู้บริโภคในปัจจุบัน ขณะที่รัฐบาลมีหน้าที่สำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่รัฐส่งเสริมประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้เพิ่มขึ้นอย่างปลอดภัย ทุกคนสามารถจ่ายค่าโดยสารได้อย่างเท่าเทียมเหมาะสมเป็นธรรม

ดังนั้น เพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นมีข้อยุติที่สามารถคลายสถานการณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมและไม่เป็นภาระของผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโคมีข้อเสนอเร่งด่วนที่สำคัญต่อการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้


1. ขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งชะลอแผนการขยายสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยทันที และให้กรุงเทพมหานครหยุดการเรียกเก็บค่าโดยสารในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ออกไปก่อน เพื่อดำเนินการให้บริการรถไฟฟ้าซึ่งเป็นบริการขนส่งมวลชนได้รับการพัฒนาและประชาชนสามารถใช้บริการได้เพิ่มขึ้นจากราคาที่ถูกลงในวิกฤตมลภาวะทางอากาศ หรือปัญหา PM 2.5 ในปัจจุบัน

2. ขอให้เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดสัญญาสัมปทานต่อสาธารณะ เพื่อรับฟังความเห็นจากองค์กรผู้บริโภค นักวิชาการ และภาคประชาชนที่ได้ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ อนามัย จากการดำเนินการของรัฐ ตามมาตรา 58 และมาตรา 61 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ความเห็นชอบ

3. ขอให้ทบทวนสัญญาสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าทุกเส้นทางในปัจจุบัน และสัญญาที่จะทำในอนาคตเพื่อศึกษาผลกระทบและกำหนดแนวทางให้เกิดความเป็นธรรม เรื่องราคากับผู้บริโภคที่จะทำให้เกิดการใช้บริการรถไฟฟ้ามากขึ้นและเป็นบริการขนส่งมวลชนสำหรับคนทุกคน รวมถึงยกเว้นค่าแรกเข้ากรณีโดยสารรถไฟฟ้าข้ามสาย พัฒนาระบบตั๋วร่วมและระบบการเชื่อมโยงบริการขนส่งมวลชนทุกประเภท เพื่อความสะดวกปลอดภัยของผู้บริโภคที่ใช้บริการ

4. ขอให้กำหนดสัดส่วนของค่าบริการขนส่งมวลชนต่อรายได้ขั้นต่ำของประชาชนต่อวันต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มเข้าถึงและใช้บริการได้ และ 5. ขอให้รัฐบาลประกาศนโยบายให้รถไฟฟ้าเป็นบริการขนส่งมวลชนที่ทุกคนต้องขึ้นได้ไม่ใช่บริการทางเลือกของผู้บริโภค

“จะเห็นว่าปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ กทม. อยู่ที่ 331 บาท แต่ค่ารถไฟฟ้าหากมีการเดินทางสูงสุดเที่ยวละ 104 บาท ไป-กลับ  208 บาท ค่าจ้างของผู้มีรายได้น้อยก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ที่ผ่านมารัฐบาลพยามทำโครงข่ายรถไฟฟ้าให้ประชาชนมาใช้บริการแต่การกำหนดราคาเช่นนี้กลับไม่เป็นแรงจูงใจซึ่งถือว่าขัดต่อนโยบายของรัฐบาลอย่างมาก” นายคงศักดิ์กล่าว

นายคงศักดิ์ ย้ำว่า  ขณะนี้เหลือเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็จะถึงกำหนดที่ต้องมีการปรับค่าโดยสารแล้วดังนั้นในการประชุมคณะรัฐมนตรีพรุ่งนี้ หวังว่านายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งในการชะลอปรับขึ้นค่าโดยสารดังกล่าว

นางกชนุช แสงแถลง ผู้อำนวยการ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของไวรัส โควิด-19 ปัจจุบัน ประชาชนมีรายได้ลดลง แต่รัฐบาลกลับมีการปรับราคาค่าโดยสารระบบขนส่งสาธารณะเป็นเสมือนการรีดเลือดจากปู ดังนั้นเห็นว่าจำเป็นที่รัฐบาล จำเป็นจะต้องเร่งทบทวนการปรับราคาดังกล่าวทันที . – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รวบผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าหั่นศพที่นนทบุรี นำตัวเข้าเซฟเฮาส์

รวบตัวชายไทย อายุประมาณ 35-40 ปี ต้องสงสัยคดีฆ่าหั่นศพ ภายในซอยจัดสรรสวิง 2 ถนนบ้านกล้วย-ไทรน้อย ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ตำรวจนำตัวเข้าเซฟเฮาส์ อยู่ระหว่างสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน

ผู้ว่าการ ธปท.เตือน ครม. หวั่นดิจิทัลวอลเล็ตก่อหนี้จำนวนมาก

ทำเนียบฯ 24 เม.ย.- ผู้ว่าการ ธปท. ทำหนังสือถึง ครม. เตือนเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท หวั่นก่อหนี้จำนวนมาก นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เมษายน 2567 เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 23 เม.ย.2567 มองว่า โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ  ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดภาระหนี้ผูกพันต่อรัฐบาลในอนาคตดังนี้ 1.ความจำเป็น โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ ควรดูแลครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย  เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง  โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ 15 ล้านคน ซึ่งดำเนินการได้ทันที และใช้งบประมาณเพียง 150,000 ล้านบาท และควรทำแบบแบ่งเป็นระยะ (phasing) เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง  […]

“สารวัตรแจ๊ะ” ยื่นฟ้องหมิ่น “ทนายรัชพล” กล่าวหาจับแพะติดคุกฟรีปีกว่า

“สารวัตรแจ๊ะ” พร้อมทนายความ ยื่นฟ้องหมิ่นประมาททนายดัง และฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท ยันไม่ได้นําตัวไปเซฟเฮาส์ ด้านทนายเผยพบหลักฐานทนายคู่กรณีบีบผู้เสียหายกลับคําให้การ แบ่งเงินคนละครึ่ง

ข่าวแนะนำ

ญาติคาใจ ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ

เหตุการณ์ตำรวจ สภ.จอหอ จังหวัดนครราชสีมา ขับรถกระบะไล่ล่า เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์คนร้ายคดีลักทรัพย์ จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ญาติคาใจการทำหน้าที่ของตำรวจว่า น่าจะทำเกินกว่าเหตุ ไม่เป็นไปตามยุทธวิธี ล่าสุด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว

คลี่ปมฆ่าโหดหนุ่มไทใหญ่ ทิ้งศพเชียงใหม่

ขมวดปมเข้ามาเรื่อยๆ สำหรับคดีฆ่าโหดใช้ค้อนปอนด์ทุบหัวหนุ่มไทใหญ่ลากขึ้นรถนำศพไปทิ้งที่ อ.แม่ริม เชียงใหม่ ล่าสุดเจ้าหน้าที่แกะรอยกล้องวงจรปิด พบรถที่กลุ่มคนร้ายใช้ขนศพ จ่อออกหมายจับอย่างน้อย 3 คน คาดปมสังหารจากเรื่องทะเลาะวิวาท

ไฟไหม้โกดังพระราม 2 เหตุร้อนจัด สารเคมีติดไฟเอง

กระทรวงอุตสาหกรรม เผยสาเหตุไฟไหม้โกดังย่านพระราม 2 มาจากอากาศร้อนจัด ทำให้สารไทโอยูเรียไดออกไซด์ติดไฟเอง เตือนสถานประกอบการให้แยกสารเคมีที่ติดไฟเองได้หรือสามารถทำปฏิกิริยาออกจากกัน หวั่นเกิดเหตุซ้ำ เพราะอากาศยังคงร้อนจัดต่อเนื่อง

ขอบคุณสมาคมธนาคารไทย ปรับลดดอกเบี้ย MRR

นายกฯ ขอบคุณสมาคมธนาคารไทย หั่นดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้กลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และ SME