กมธ.ศึกษาแก้รธน. เสนอตั้งส.ส.ร.ร่างรธน.ใหม่

รัฐสภา 10 ก.ย.- กรรมาธิการศึกษาแก้ รธน. แถลงผลศึกษาต่อสภาฯ เสนอตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1-2 รื้อระบบเลือกตั้งกลับไปใช้แบบปี 40 เลิกเสนอชื่อนายกฯ ก่อนการเลือกตั้ง ให้สภาฯ ตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญและองค์อิสระได้ คืนอำนาจถอดถอนนักการเมืองให้ ส.ว.


การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ที่ประชุมได้พิจารณารายงานการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญของกรรมาธิการชุดที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่สภาฯตั้งขึ้นร่วมกัน และใช้เวลาถึง 8 เดือนในการศึกษา นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า กรรมาธิการเห็นว่าหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีอะไรต้องแก้ไข แต่ในหมวดอื่น ๆ มีผลการศึกษาดังนี้

หมวดที่ 3 ที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เห็นว่ามีหลายมาตรามากที่จำเป็นจะต้องแก้ไขใหม่ โดยเฉพาะมาตรา 25 ถึงมาตรา 49 ซึ่งการแก้ไขจะยึดรัฐธรรมนูญฉบับในอดีตเป็นฐาน โดยเฉพาะฉบับปี 2540 และฉบับปี 2550 เพราะมีการบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพไว้มากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพราะบางมาตราในปัจจุบันบัญญัติไว้กว้างสามารถตีความให้สามารถจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้


หมวดที่ 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย กรรมาธิการเห็นว่าจำเป็นต้องทบทวนใหม่เช่นกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเรื่องใดควรเป็นหน้าที่และเรื่องใดควรเป็นสิทธิ เพราะบางเรื่องเป็นเรื่องของสิทธิมากกว่าหน้าที่

หมวดที่ 5 หน้าที่ของรัฐที่ควรกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจน เพรารัฐธรรมนูญกำหนดเพียงว่ารัฐเป็นหน้าที่ แต่ไม่ได้กำหนดว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ และควรเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีอำนาจในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐให้ได้มากยิ่งขึ้น

หมวดที่ 6 เรื่องแนวนโยบายแห่งรัฐ เห็นว่าควรปรับปรุงให้เรื่องนโยบายเป็นอิสระของคณะรัฐมนตรี โดยไม่ควรบัญญัติให้บังคับไว้ในรัฐธรรมนูญ และควรปรับลดระยะเวลาตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีลง และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในกรรมการยุทธศาสตร์ชาติมากขึ้น และที่สำคัญต้องกำหนดให้ชัดเจนว่านโยบายแห่งรัฐจะต้องเอื้อประโยชน์หรือเกิดการผูกขาดให้กับกลุ่มทุน


หมวดที่ 7 รัฐสภา กรรมาธิการเห็นว่าควรกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบ 2 ระบบ คือระบบแบ่งเขต และระบบบัญชีและรายชื่อ และใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบเหมือนเดิม และยกเลิกการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีก่อนการเลือกตั้ง ในส่วนวุฒิสภา ให้กลับมามีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเหมือนเดิม และสามารถถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงได้ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนที่มาของ ส.ว.ให้กำหนดวิธีการเลือกกันเองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

หมวดที่ 8 คณะรัฐมนตรี กรรมาธิการเห็นตรงกันว่าคณะรัฐมนตรีจะต้องไม่เป็น ส.ส.ในเวลาเดียวกัน และกำหนดคุณสมบัติเกี่ยวกับการถือครองหุ้นสื่อให้ชัดเจน

หมวดที่ 9 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ กรณีห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถือหุ้นในบริษัทสัมปทานของรัฐนั้น กรรมาธิการเห็นว่าไม่ควรรวมถึงการถือหุ้นในลักษณะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ใช่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่จะไปมีสิทธิในการบริหาร

หมวดที่ 10 เกี่ยวกับศาล กรรมาธิการเห็นว่าควรให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้พิพากษา ตุลาการในการพิจารณาคดี ในคดีที่ขัดต่อความรู้สึกของประชาชน ที่คำพิพากษาอาจถูกแทรกแซงจากปัจจัยภายนอกได้ และให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจของผู้พิพากษาได้ และผู้พิพากษาหรือข้าราชการในศาลยุติธรรมไม่ควรมีตำแหน่งในหน่วยงานหรือองค์กรอื่นของรัฐ และไม่ควรไปเข้าเรียนในหลักสูตรต่าง ๆ ที่เป็นการเปิดโอกาสสร้างคอนเนคชั่นจนกระทบต่อความเชื่อมั่นได้ ส่วนศาลทหารให้เป็นศาลที่พิจารณาเฉพาะคดีของทหารเท่านั้น

หมวดที่ 11 ศาลรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการเห็นว่า ควรกำหนดขอบเขตการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญโดยให้รัฐสภามีอำนาจถ่วงดุลตรวจสอบการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญได

หมวดที่ 12 องค์กรอิสระ กรรมาธิการเห็นว่าควรกำหนดกรอบการใช้ดุลพินิจของกรรมการในองค์กรอิสระและให้องค์กรอิสระสามารถถูกตรวจสอบโดยศาลได้ และให้สภาผู้แทนราษฎรมีบทบาทในการตรวจสอบองค์กรอิสระ และให้ศาลมีอำนาจเพิกถอนคำวินิจฉัยของ กกต.ได้ กกต.ไม่ควรมีอำนาจวินิจฉัยตัดสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้ง แต่ควรเป็นอำนาจศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งแทน ส่วน ป.ป.ช.ควรกำหนดให้การชี้มูลความผิดต้องเป็นกรณีที่ปรากฏพยานหลักฐานอย่างแน่ชัด ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดไม่ใช่ชี้มูลจากคำว่า เชื่อได้ว่า

หมวดที่ 13 องค์กรอัยการ กรรมาธิการเห็นว่าควรมีกลไกในการควบคุมการใช้อำนาจของอัยการ และห้ามมอบอำนาจในการใช้ดุลพินิจสั่งคดีอย่างกรณีที่เกิดขึ้นในคดี บอส อยู่วิทยา และควรห้ามอัยการไม่ให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอื่นของรัฐ หรือไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้บริษัทต่าง ๆ

นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงหมวดการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 กรรมาธิการเห็นด้วยให้ยกเลิกการให้ ส.ว.ร่วมเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยเสียง 1 ใน 3 และให้ใช้เสียงข้างมากในที่ประชุมร่วมรัฐสภาแทน เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 และให้ยกเลิกเงื่อนไขที่ต้องให้ ส.ส.จากพรรคซึ่งไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือ ประธานสภาต้องเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และให้ยกเลิกการทำประชามติในหมวดที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามทางการเมือง หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระ

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ให้ตัดหมวดการปฏิรูปประเทศออกจากรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ยิ่งทำให้เกิดความล่าช้า จึงควรให้ไปบัญญัติในกฎหมายลำดับรองแทน เพราะจนถึงขณะนี้การปฏิรูปยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญจนไม่สามารถปฏิรูปได้จริง ส่วนเนื้อหาในหมวดเฉพาะของรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการเห็นควรให้ปรับปรุง 2 แนวทาง คือ ให้ยกเลิก ส.ว.ที่มาตามบทเฉพาะกาล และให้มีวุฒิสภามาตามบทบัญญัติหลักของรัฐธรรมนูญแทน หรือให้ ส.ว.ชุดปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนครบวาระ แต่ตัดอำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า อำนาจ ส.ว.ตามมาตรา 272 ที่ให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี กรรมาธิการมีความเห็นเป็น 2 แนวทางคือ 1 ให้ตัดอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรีออกทั้งหมดเพื่อให้เป็นอำนาจ ส.ส.เพียงสภาเดียวในการเลือกนายกรัฐมนตรี หรือ 2 ไม่จำเป็นต้องแก้ไขมาตรา 272 เพราะมาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่บังคับไว้เพียงชั่วคราวและได้ใช้บังคับในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไปแล้ว นอกจากนี้กรรมาธิการยังเห็นชอบว่า ควรยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาแทนการแก้ไขรายมาตรา โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)ขึ้นมาทำหน้าที่ในการยกร่าง ยกเว้นการร่างหมวด 1 และหมวด 2 และให้จัดทำประชามติก่อนนำขึ้นทูลเกล้าประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปราย ส.ส.พรรคก้าวไกลส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่กรรมาธิการมีแนวทางไม่แก้ไขหมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่นายพีระพันธุ์ ชี้แจงว่า ไม่มีกรรมาธิการคนใดเสนอประเด็นที่ต้องแก้ไขในทั้ง 2 หมวด โดยกรรมาธิการมีตัวแทนจากทุกพรรครวมถึงพรรคก้าวไกลด้วย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ทบ.​ เชิญ​ผู้ช่วยทูตทหาร รับฟังข้อเท็จจริง​ปมทุ่นระเบิดช่องบก

กองทัพบก 22 ก.ค.- ทบ.​ เชิญ​ผู้ช่วยทูตทหาร​ 47 ประเทศ​ รับฟังคำชี้แจง​สถานการณ์​ชายแดน​ไทย​-กัมพูชา​ หลังกำลังพลเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บ​ 3 นาย​ พบ เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล​วางใหม่​ โดยมีหลายชาติ สนใจรับฟังขณะ​ พลจัตวา​ ฮอม​ คิม ผู้ช่วยทูตทหารดัมพูชา ร่วมด้วย กองบัญชาการ​กองทัพ​บก​ เชิญผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย​ รับฟังการชี้แจงสถานการณ์​ชายแดนไทย​-กัมพูชา​ ถึงข้อเท็จจริงกรณีไทยโดนรุกล้ำอธิปไตย​ และมีการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล​ ทำให้ทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย​ และมีการตรวจสอบว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่​ ที่วางในเขตไทย​ ซึ่งขัดต่ออนุสัญญา​ออตตาวา​ ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นประเทศภาคี​ที่ให้สัตยาบัน​​ บรรดาทูต​ทหาร​ ทยอยเดินทางมายังห้อง ศรีสิทธิสงคราม​ ภายในกองทัพบก ตั้งแต่เวลา​ 13.20 น.​ อาทิทูตทหารจากเวียดนาม เมียนมา อินเดีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อังกฤษ บูรไน ออสเตเรีย สหรัฐอเมริกา อินโดนิเซีย จีน กัมพูชา เยอรมันนี แคนนาดา […]

พายุวิภากระหน่ำจันทบุรี ซัดหลังคาร้านอาหารถล่ม

จันทบุรี 22 ก.ค. – พายุกระหน่ำจันทบุรี ซัดหลังคาร้านข้าวมันไก่ถล่ม กระแทกหลังแม่เจ้าของร้านได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่ภูเก็ตพายุถล่มภูเก็ต ป้ายล้ม-ต้นไม้ทับสาวจีนเสียชีวิต หลังคาร้านข้าวมันไก่ บริเวณตลาดศิริการ อ.เมือง จ.จันทบุรี ถูกพายุพัดร่วงลงมาทั้งแผง ท่ามกลางความตื่นตระหนกของลูกค้าและพนักงานในร้าน เหตุดังกล่าวเกิดช่วงเที่ยงพอดี จึงมีลูกค้ามานั่งกินข้าวเต็มร้าน กระทั่งมีฝนเทลงมา ทางร้านและลูกค้าจึงช่วยกันขนย้ายโต๊ะเก้าอี้เข้าข้างในเพื่อหลบฝน ก่อนพายุจะซัดเข้ามาอย่างรุนแรง จนหลังคาถล่ม เบื้องต้นไม่มีลูกค้าได้รับบาดเจ็บ มีเพียงแม่เจ้าของร้านข้าวมันไก่อีกร้าน ที่อยู่ติดกัน ถูกหลังคากระแทกหลังได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาลแล้ว พนักงานร้านข้าวมันไก่ บอกว่า ปกติบริเวณนี้มีฝนตกบ่อย หลังคาแข็งแรงดี ไม่ได้ชำรุดอะไร แต่วันนี้ ลมแรงมาก มาแบบวูบเดียว พัดหลังคาลอยขึ้นก่อนพังลงมา ทั้งนี้ลมพายุได้พัดหลังคาของตึกที่อยู่ในละแวกร้านข้าวมันไก่พังเสียหายจำนวน 15 คูหา เบื้องต้นกำลังทหารและตำรวจ ได้เข้าตรวจสอบ พร้อมให้การช่วยเหลือ ขนย้ายเศษซากหลังคาเคลียร์พื้นที่เพื่อความปลอดภัยแล้ว พายุโซนร้อนวิภาถล่มภูเก็ต ป้ายล้ม-ต้นไม้ทับสาวจีนเสียชีวิต ที่หน้าหาดเกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ หอบข้าวของวิ่งหนีลมพายุ จังหวะนั้นต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกลมพัดโค่นลงมา ในคลิปจะได้ยินเสียงคนพูดว่า “เห็นไหม คน ๆ อยู่ใต้นั้น” หลังเหตุการณ์สงบ […]

รถบรรทุกพุ่งชน จยย.พ่วงข้างรับส่ง นร. ตาย 3 เจ็บ 6

พระนครศรีอยุธยา 22 ก.ค. – สลด รถบรรทุก 6 ล้อ พุ่งชนรถจักรยานยนต์พ่วงข้างรับส่งนักเรียน มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 6 คน เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุก 6 ล้อ ทะเบียนพระนครศรีอยุธยา พุ่งชนรถจักรยานยนต์พ่วงข้างรับส่งนักเรียน โรงเรียนวัดมณฑลประสิทธิ์ ก่อนตกลงไปในร่องน้ำ บนถนนชนบทเลียบคลองระพีพัฒน์ หมู่ 5 ตำบลวังน้อย อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอัดกับรั้วบ้านจนรถพังยับ มีผู้ติดอยู่ในรถ 2 คน เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้อุปกรณ์ตัดช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คนออกมา แต่ผู้โดยสารเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนคนขับบาดเจ็บสาหัส ใกล้กันพบรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง สภาพรถเสียหายยับเยิน คนบนรถ 7 คน เป็นนักเรียนโรงเรียนวัดมณฑลประสิทธิ์ 6 คน ผู้ปกครอง 1 คน บาดเจ็บทั้งหมด เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงช่วยกันนำตัวส่งโรงพยาบาลวังน้อย และมีนักเรียน 2 คนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่มูลนิธิพุทไธสวรรย์ จุดกิตติวังน้อย […]

โฆษก ทบ. เผยนานาชาติเข้าใจไทยเคลียร์ปมทุ่นระเบิด

กองทัพบก 22 ก.ค.- โฆษก ทบ. เผยเคลียร์ปมทุ่นระเบิด นานาชาติเข้าใจไทย ขณะผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชานั่งนิ่งไม่โต้แย้ง – ให้กองทัพภาคที่ 2 ประเมินสถานการณ์หลังคนไทยนัดรวมตัวปราสาทตาเมือนธม ปลายเดือนนี้ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวภายหลังการเชิญผู้ช่วยทูตทหาร รับฟังคำชี้แจง​สถานการณ์​ชายแดน​ไทย​- กัมพูชา​ หลังกำลังพลเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บ​ 3 นาย​ ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ส่วนใหญ่เป็นการรับฟังและมีคำถามบ้าง ถือว่าน้อย เนื่องจากทุกท่านอาจจะได้รับข่าวสารจากช่องทางอื่นมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ที่พยายามบอกกล่าวและชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องข้อเท็จจริง พลตรีวินธัย เปิดเผยว่า ทูตทหารของกัมพูชา ไม่ได้ชี้แจงหรือมีคำถามอะไร คำถามส่วนใหญ่มาจากท่านอื่นมากกว่า ที่ถามเรื่องของความมั่นใจและยืนยันใช่หรือไม่ ซึ่งทางเรา ก็ให้เหตุผลไป และจะให้เอกสารชี้แจง ส่วนท่าทีของประเทศมหาอำนาจ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งการเชิญมาในวันนี้เราก็ทำตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก คือทำให้เป็นทางการ ส่วนการหารือได้ชี้แจงเรื่องของการละเมิด บูรณภาพดินแดน และเอ็มโอยู 2543 และอนุสัญญาออตตาวา ด้วยหรือไม่ พลตรีวินธัย ระบุว่า มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าว และได้อธิบายตามหลักอนุสัญญา ที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิก และเล่าถึงกลไกการแก้ไขปัญหา […]

ข่าวแนะนำ

ฝนถล่มน่าน น้ำเริ่มท่วมหลายพื้นที่ และน้ำน่านเพิ่มขึ้นรวดเร็ว

น่าน 23 ก.ค.-อิทธิพลจากพายุวิภา ทำให้ฝนถล่มน่านอย่างหนัก ปริมาณฝนสะสมเกิน 200 มิลลิเมตร น้ำเริ่มท่วมในหลายพื้นที่ และน้ำน่านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จ.น่าน ขณะนี้ฝนตกหนักต่อเนื่องมาเกือบ 20 ชั่วโมงแล้ว และหลายพื้นที่โดยเฉพาะทางตอนเหนือวัดปริมาณฝนสะสมเกิน 200 มิลลิเมตรเกือบ 20 สถานี ส่งผลให้ระดับน้ำน่านเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยชั่วโมงละ 30 เซนติเมตร แม้ว่าระดับน้ำน่านยังต่ำกว่าตลิ่งอยู่มาก แต่ฝนที่ตกหนักติดต่อกันมาทั้งคืน โดยเฉพาะทางตอนเหนือของเมืองทั้งที่ปัว บ่อเกลือ เฉลิมพระเกียรติ ท่าวังผา และอีกหลายอำเภอ ซึ่งจากข้อมูลปริมาณน้ำฝนจากสถานีวัดของมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก ในจังหวัดน่าน เมื่อเช้านี้พบปริมาณฝนสะสมเกิน 200 มิลลิเมตรถึง 18 สถานี สูงสุดอยู่ที่สถานีต้นน้ำน้ำกอนฝั่งซ้าย ตำบลพญาแก้ว อำเภอเชียงกลาง สูงถึง 291 มิลลิเมตร นั่นทำให้บางพื้นที่ลุ่มต่ำเริ่มมีน้ำเข้าท่วมพื้นที่แล้ว อย่างที่อำเภอท่าวังผา เริ่มมีน้ำทะลักเข้ามาแล้ว รวมทั้งระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่สถานีวัดระดับน้ำ n64 บ้านผาขวาง เหนือเมืองน่านไป 30 กิโลเมตร เพิ่มเป็น 7 เมตร […]

เตือนเฝ้าระวังดินถล่มใน 21 จังหวัด แม้ “วิภา” อ่อนกำลัง

กรุงเทพฯ 23 ก.ค.-กรมทรัพยากรธรณี แจ้งเตือนให้เฝ้าระวังดินถล่มในพื้นที่ 21 จังหวัด จากผลกระทบพายุ “วิภา” แม้ขณะนี้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแล้ว แต่อิทธิพลของร่องมรสุมยังคงส่งผลให้หลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันตกมีฝนตกหนักต่อเนื่อง นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า กรมฯ ยังคงเปิดศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย (War Room) เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 หรือจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์ข้อมูล และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ จากการวิเคราะห์ข้อมูลฝนสะสมควบคู่กับแบบจำลองธรณีพิบัติภัย พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มกระจายอยู่ใน 21 จังหวัด ได้แก่ -ภาคเหนือ: แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง ตาก อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย อุดรธานี หนองคาย-ภาคตะวันออก: จันทบุรี ตราด-ภาคตะวันตก: กาญจนบุรี ราชบุรี-ภาคใต้ฝั่งตะวันตก: ระนอง พังงา […]

เตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

กรุงเทพ 23 ก.ค.-“สุริยะ” แจ้งข่าวดี เตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ดีเดย์ 25 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป ยันระบบไม่ล่ม แนะประชาชนลงทะเบียนได้ต่อเนื่อง-ไม่มีวันหมดอายุ ก่อนเริ่มใช้บริการ 1 ต.ค.68 มั่นใจหลังเริ่มประกาศใช้ดันผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 20% นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป เตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท (20 บาทตลอดสาย) ผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ iOS และ Android ภายใต้เงื่อนไขว่า จะต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยจะต้องระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก บัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรโดยสาร (Rabbit Card ที่ลงทะเบียน) ที่จะใช้งานกับระบบรถไฟฟ้า ซึ่งบัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนจะได้สิทธิการใช้มาตรการโดยอัตโนมัติ หากไม่ลงทะเบียน […]

ศาลทหารชั้นฎีกา พิพากษารอลงอาญา 2 ปี จำเลยคดี “น้องเมย”

22 ก.ค. – 8 ปีที่รอคอย “คดีน้องเมย” นักเรียนเตรียมทหารปี 1 เสียชีวิต ศาลทหารชั้นฎีกา พิพากษาจำคุก 4 เดือน 16 วัน รอลงอาญา 2 ปี จำเลยไม่เคยได้รับโทษ ลงโทษไปไม่เป็นประโยชน์ ให้ปรับปรุงตัวรับราชการรับใช้ชาติต่อไปจะเป็นประโยชน์มากกว่า คดี “น้องเมย” นักเรียนเตรียมทหาร เสียชีวิตปริศนาเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2560 ขณะศึกษาอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร ใบมรณบัตรระบุเพียงว่าเกิดจาก “ภาวะหัวใจล้มแล้วเฉียบพลัน” ขณะที่คนในครอบครัวตัญกาญจน์ ยืนยันว่าเป็นการเสียชีวิตที่ผิดปกติ จนนำมาสู่การส่งร่างผ่าพิสูจน์รอบ 2 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม หลังผลการผ่าพิสูจน์ในรอบแรกของสถาบันพยาธิวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สร้างความคลางแคลงใจให้เป็นอย่างมาก กระทั่งผลการผ่าพิสูจน์รอบ 2 พบว่าสมอง ปอด และอวัยวะสำคัญหลายส่วนหายไป นอกจากนี้ยังพบรอยช้ำตามร่างกายหลายแห่ง ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ทางครอบครัวยังคงเดินหน้าฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องในหลายคดี ด้วยหวังที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับน้องเมย ด้านการดำเนินคดีอาญานั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในช่วงแรก คือวันที่ 23 […]