กรุงเทพ 29 เม.ย. – รฟม.แจ้งพร้อมเปิดให้บริการอาคารจอดรถสถานีคลองบ้านม้า โดยเริ่มเก็บค่าบริการตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป และขยายเวลาเปิดทดลองใช้บริการลานจอดรถสถานี รฟม. ฟรีอีก 1 ปี
ตามที่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการลานจอดรถสถานี รฟม. และอาคารจอดรถสถานีคลองบ้านม้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยไม่เก็บค่าบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 – 30 เมษายน 2568 เพื่อเป็นการทดสอบระบบบริหารจัดการที่จอดรถอัจฉริยะ หรือ “MRTA Smart Parking” ซึ่ง รฟม. ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาใช้พัฒนาการให้บริการที่จอดรถของ รฟม. และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ นั้น
ในการนี้ รฟม. ขอแจ้งว่า ปัจจุบันอาคารจอดรถสถานีคลองบ้านม้า ได้ทดสอบระบบต่าง ๆ แล้วเสร็จเรียบร้อย และมีความพร้อมเปิดให้บริการแก่ประชาชน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป โดยคิดอัตราค่าบริการจอดรถยนต์เริ่มต้น 20 บาท/ชั่วโมง และรถจักรยานยนต์เริ่มต้น 10 บาท/ชั่วโมง สำหรับผู้ใช้บริการรายเดือน คิดอัตราค่าบริการจอดรถยนต์ 1,000 บาท/เดือน สามารถจอดรถได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม
สำหรับลานจอดรถสถานี รฟม.นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบระบบ Smart Parking โดย รฟม.จะขยายเวลาเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการต่อไปอีก 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – 30 เมษายน 2569 โดยไม่เก็บค่าบริการ แต่หากผู้ใช้บริการจอดรถ 48 ชั่วโมงขึ้นไป จะคิดค่าใช้พื้นที่สำหรับรถยนต์ 100 บาท/วัน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกจุดจอดรถในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ อาคารและลานจอดรถทั้ง 2 แห่ง จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดย รฟม. ได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับให้บริการประชาชนอย่างครบครัน เช่น ห้องน้ำ ระบบแนะนำช่องจอดรถว่าง กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น นอกจากนี้ รฟม. ยังได้มีแนวคิดเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ในอนาคต ได้แก่ ตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ (Vending Machine) จุดจอดรถ Taxi EV และ EV Charger เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID : @MRTAParking หรือ แอปพลิเคชั่น MRTA Parking หรือ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044 “รฟม. ร่วมยกระดับเมืองด้วยโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและนวัตกรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”.-513-สำนักข่าวไทย
