รร.เซ็นจูรี่ พาร์ค 3 มี.ค. – ป.ป.ส.จับมือ 4 หน่วยงาน ทำ MOU ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ยกระดับปราบอาชญากรรมยาเสพติดข้ามชาติ
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ระหว่างสำนักงาน ป.ป.ส. โดย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส., สำนักงานอัยการสูงสุด โดย นายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด, กองบัญชาการกองทัพไทย โดย พล.ท.ณัฐวุฒิ สบายรูป ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย กระทำการตามคำสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างมากและเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเป็นภัยคุกคามสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยและทั่วโลก การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และจำเป็นต้องมีการประสานงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของผู้ปฏิบัติงานหรือผู้บังคับใช้กฎหมาย ระหว่างหน่วยงานของรัฐ ให้เพียงพอต่อการนำไปใช้ในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญากรรม ข้ามชาติในเชิงรุก เพื่อนำตัวผู้ที่เป็นตัวการสำคัญมาดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิผล
นอกจากนี้ไทยที่มี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติพ.ศ.2556 กม.นี้มีอัยการสูงสุดเป็นหลัก เพราะเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร และ พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ซึ่งจะจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังมีการลงนามความร่วมมือร่วมกันให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้กรณีกลุ่มองค์การข้ามชาติเหล่านี้ใช้ไทยเป็นทางผ่าน
ด้าน พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการยกระดับ การประสานงานร่วมกัน ระหว่าง 5 หน่วยงาน เพื่อสนับสนุน เสริมสร้างและบูรณาการความร่วมมือระหว่างผู้บังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ยาเสพติดและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในเชิงรุก เพื่อให้สามารถนำผู้กระทำความผิดในรูปแบบองค์กรอาชญากรรม ข้ามชาติมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีผลกระทบต่ออำนาจหน้าที่ ของแต่ละหน่วยงานในบันทึกความเข้าใจนี้ ซึ่งบันทึกความเข้าใจนี้มีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี นับแต่วันลงนามในบันทึกความเข้าใจนี้ โดยคาดว่าจะทำให้หน่วยงานภาคีสมาชิกสามารถแลกเปลี่ยนและนำข้อมูล ความรู้ ทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยี งบประมาณ ตลอดจนข้อมูลที่สำคัญของแต่ละหน่วยงานที่ใช้สำหรับการดำเนินคดี กับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งสามารถนำกลุ่มผู้กระทำความผิดในลักษณะ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติมาลงโทษได้ อันจะส่งผลให้ลดความสูญเสียในด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจาก ผู้กระทำความผิดดังกล่าว และเพื่อสร้างความปลอดภัยและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น.-417-สำนักข่าวไทย
