กรุงเทพฯ 16 ก.พ.- กระทรวงพลังงานแจง โรงไฟฟ้าชุมชน นำร่องเกิดขึ้นแน่นอน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมลงนามสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกับเอกชน เน้นต้องรอบคอบ เพื่อสร้างรายได้วิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรในระยะยาว
นายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน ชี้แจงกรณีที่มีประเด็นการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากว่า โครงการนี้เป็นโครงการนำร่องที่ร่วมกันหลายภาคส่วน ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ส่วนวิสาหกิจชุมชนจะเป็นผู้รวบรวมเชื้อเพลิง จากเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานส่งให้กับโรงไฟฟ้าในรูปแบบ Contract Farming ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นของวิสาหกิจชุมชนร้อยละ 10 นั้นเป็นสัดส่วนในโครงการนำร่อง เนื่องจากเป็นการดำเนินการโรงไฟฟ้าที่ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเงินลงทุนค่อนข้างสูง หากให้วิสาหกิจชุมชนเป็นเจ้าของเองจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จึงต้องค่อยเป็นค่อยไปโดยในระยะเริ่มแรกให้วิสาหกิจถือหุ้นในสัดส่วนนี้ไปก่อน แต่หากชุมชนมีความพร้อมในอนาคตสามารถถือหุ้นเพิ่มเติมตามความตกลงระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยมิได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องที่มีการระบุว่า ต้องมีเงินประกันสัญญา 500 ล้านบาท นั้นมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากตามระเบียบของโครงการระบุว่า ผู้ยื่นขายไฟฟ้าต้องวางหลักประกัน จำนวน 500 บาทต่อกิโลวัตต์ของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขาย ดังนั้นผู้ยื่นจะต้องวางหลักประกัน 1.5 – 3 ล้านบาทต่อโครงการ เท่านั้น
“ขอให้มั่นใจได้ว่า โรงไฟฟ้าชุมชนฯนำร่องจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะเกี่ยวพันกับรายได้และผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกรในระยะยาว สาเหตุล่าช้าเนื่องจากมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบและพิจารณาอย่างครบถ้วนแล้ว โดยพบว่าไม่ปรากฏพฤติการณ์ตามข้อกล่าวหา และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมลงนามสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกับผู้เข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนต่อไป” โฆษกกระทรวงพลังงานกล่าว.
สำหรับการบริหารของโรงไฟฟ้าชุมชน วิสาหกิจฯ จะมีรายได้แน่นอน และเกษตรกร รายได้จากการขายเชื้อเพลิงพืชพลังงานให้โรงไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 80 ของปริมาณเชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้าใช้ทั้งหมด และจะมีรายได้หรือผลประโยชน์เพิ่มเติมอื่นๆ ตามที่ผู้เสนอโครงการหรือภาคเอกชนจะต้องทำความตกลงกับชุมชน เพื่อสามารถนำเงินดังกล่าวไปช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค ด้านการรักษาพยาบาล ด้านการศึกษา เป็นต้น คาดจะช่วยให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 28,000 ล้านบาท เกษตรกรมีรายได้จากการเชื้อเพลิงระยะยาว 20 ปี มูลค่าประมาณ 33,800 ล้านบาท และเกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพกว่า 23,600 อัตรา ลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงานและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน.–สำนักข่าวไทย