กรุงเทพฯ 2 ก.ย. – สทนช. ระบุปลายสัปดาห์นี้ ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง-ภาคกลาง ส่งผลให้มีฝนตกกระจาย เร่งระบายน้ำจากเขื่อนและลำน้ำที่มีน้ำมาก โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ ปรับเพิ่มระบาย 50 ล้าน ลบ.ม./วัน ตั้งแต่ 4 ก.ย. ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยา ทยอยปรับเพิ่มเป็น 1,500 ลบ.ม./วินาที ล่าสุดจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าภาคกลางแล้ว
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สทนช. ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับแผนบริหารจัดการน้ำจากร่องมรสุมที่คาดว่าจะพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ในช่วงวันที่ 4-11 กันยายนนี้ โดยเร่งพร่องน้ำจากเขื่อนและลำน้ำสายหลัก เพื่อให้มีพื้นที่ว่างรองรับน้ำจากฝนระลอกใหม่ พร้อมสั่งทยอยเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์-เจ้าพระยา เพื่อให้กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายให้น้อยที่สุด
ทั้งนี้ ฝนที่ตกต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุ “วิภา-คาจิกิ-หนองฟ้า” ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เขื่อนขนาดใหญ่ทางตอนบน โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำมากถึงร้อยละ 85 ของความจุอ่างฯ และยังคงมีน้ำไหลเข้าเพิ่มขึ้นจากทั้งแม่น้ำสายหลัก ลำห้วยสาขา และการผันน้ำจากลุ่มน้ำยม-น่าน
ปัจจุบันมีการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ วันละ 25 ล้าน ลบ.ม. (หรือ 290 ลบ.ม./วินาที) โดยกรมชลประทาน กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เห็นสมควรปรับเพิ่มเป็นวันละ 50 ล้าน ลบ.ม. (หรือ 580 ลบ.ม./วินาที) ระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน เพื่อสร้างพื้นที่ว่างรองรับปริมาณน้ำใหม่
นายสุรสีห์ ระบุว่า น้ำเหนือจะทยอยไหลมารวมกันยังหน้าเขื่อนเจ้าพระยา ในช่วงกลางเดือนกันยายน ขณะที่มีแนวโน้มว่าร่องมรสุมจะเลื่อนต่ำลงมาพาดผ่านภาคกลางระหว่างวันที่ 4-11 กันยายน ทำให้มีฝนตกหนักเพิ่มเติมในลุ่มเจ้าพระยา ดังนั้น จึงต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราไม่เกิน 1,500 ลบ.ม./วินาที ล่าสุดวันนี้ระบายที่ 1,450 ลบ.ม./วินาที ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ โดยจะปรับตามสถานการณ์ฝนตกและระดับน้ำท้ายเขื่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการระบายน้ำปริมาณมากในช่วงน้ำทะเลหนุนและฝนซ้ำ
แม้การเพิ่มการระบายจะส่งผลกระทบต่อบางพื้นที่ลุ่มต่ำของ จ.อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา แต่เป็นมาตรการสำคัญในการบรรเทาความเสี่ยงในภาพรวม โดยได้กำชับให้กรมชลประทานประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้เพื่อให้การจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สทนช. จึงจัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว)” ในพื้นที่ภาคกลางที่มีความเสี่ยงอุทกภัย เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ประสานการระบายและช่วยเหลือประชาชนให้ทันต่อสถานการณ์
นายสุรสีห์ ย้ำว่า การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งระบบ ได้แก่ ปิง วังยม น่าน สะแกกรัง ป่าสัก ท่าจีน และเจ้าพระยา เพื่อให้สามารถควบคุมและเชื่อมโยงการจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ลดความเสียหายให้ได้มากที่สุด.-512-สำนักข่าวไทย