แจงเหตุผลตรา พ.ร.ฎ. อนุญาตทำกินในป่าอนุรักษ์ ภายใน 27 พ.ย. 67

กรุงเทพฯ 8 พ.ย. – อธิบดีกรมอุทยานฯ เผยเหตุผลที่ต้องมีการเสนอตรา พ.ร.ฎ. 2 ฉบับเกี่ยวกับการอนุญาตให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ซึ่งต้องตราให้แล้วเสร็จใน 27 พ.ย. นี้ เนื่องจากต้องออกกฎหมายกำหนดระยะเวลาไว้ หลังจาก พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ และ พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ามีผลใช้บังคับเมื่อปี 62 ชี้เป็นการรับรองสิทธิให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยหรือทำกินได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เป็นการลิดรอนสิทธิตามที่กลุ่ม “พีมูฟ” เข้าใจ


นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกล่าวถึงขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการออกพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ศ. …. และพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 พ.ศ. ….โดยร่างพระราชกฤษฎากทั้ง 2 ฉบับจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2567

ทั้งนี้พีมูฟขอให้รัฐบาลชี้แจง ผู้แทนรัฐบาลนำโดย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี หน่วยงานที่เข้าชี้แจงคือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช


นายอรรถพลกล่าวว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินของประชาชนในเขตป่าอนุรักษ์ซึ่งจะทำให้มีการรับรองสิทธิอย่างถูกต้อง เดิมพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ไม่มีบทบัญญัติใดที่อนุญาตให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาเป็นเพียงการผ่อนผันทางนโยบายให้ประชาชนอยู่อาศัยทำหรือทำกินภายใต้มติคณะรัฐมนตรี โดยมติคณะรัฐมนตรีหลักที่ใช้คือมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ที่แก้ไขปัญหาประชาชนที่อาศัยหรือทำกินมาก่อนปี 2545 ต่อมารัฐบาลมีคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 วางมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ภายหลังมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 แต่ต้องอยู่อาศัยก่อนปี พ.ศ. 2557 และคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติเห็นชอบพื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามมติ คทช.ดังกล่าว เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 โดยกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินของประชาชนในเขตป่าอนุรักษ์ ในกลุ่มที่ 4 ชุมชนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ ทั้งก่อนและหลัง มติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 กำหนดให้นำผลการสำรวจตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 และผู้ที่อยู่ภายหลังมติคณะรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 แต่ก่อนปี 2557 ตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 มาตรวจสอบร่วมกับประชาชน และกำหนดเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ทำกินอันสอดคล้องกับการปรับปรุงกฎหมาย เป็นพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพื่อให้นำพื้นที่ตามนโยบายของรัฐบาลมารับรองให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และกำหนดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาพร้อมทั้งให้มีแผนที่กำหนดแนวเขตที่ชัดเจนแนบท้าย โดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนในเขตป่าอนุรักษ์ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดแล้วเสร็จได้จำนวนทั้งสิ้น 224 ป่าอนุรักษ์ จำนวน 4,042 หมู่บ้าน ประชาชน จำนวน 314,784 ราย/ครอบครัว 466,307 แปลง เนื้อที่รวมประมาณ 4.257 ล้านไร่

สำหรับความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จภายใน 27 พฤศจิกายน 2567 เป็นตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและประเมินผลสัมฤทธิ์ ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ที่กำหนดไว้ดังนี้

  1. พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายฯ ได้บัญญัติให้กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ต้องมีการออกกฎเพื่อให้ประชาชนสามารถปฏิบัติตามกฎหมายหรือได้สิทธิจากกฎหมายได้ หากไม่มีการออกกฎภายในระยะเวลา 2 ปี และบทบัญญัติก่อภาระหรือเป็นผลร้ายต่อประชาชน ให้บทบัญญัติดังกล่าวสิ้นผล แต่ในกรณีที่บทบัญญัตินั้นให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนให้บทบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับได้โดยไม่ต้องมีกฎ โดยระยะเวลา 2 ปี ดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจะมีมติขยายออกไปอีกก็ได้แต่ไม่เกิน 1 ปี รวมเป็น 3 ปี ทั้งนี้สำหรับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ฯ มีผลใช้บังคับให้นับระยะเวลา เมื่อพ้นกำหนดเพิ่มได้อีก 2 ปี รวมเป็น 5 ปี
  2. พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2562 เป็นวันก่อนพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายฯ มีผลใช้บังคับ ดังนั้นจึงมีระยะเวลาออกกฎให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี ซึ่งทั้ง 2 พระราชบัญญัติดังกล่าวมีระยะเวลาครบกำหนด วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ขยายระยะเวลาอีก 1 ปี เป็น วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ดังนั้น จึงต้องดำเนินการออกกฎให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ตามที่กฎหมายกำหนด
  3. กรณีการแก้ไขปัญหาประชาชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์กำหนดไว้ในมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ซึ่งได้บัญญัติให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ พร้อมแผนที่กำหนดขอบเขตแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาอันเป็นกฎที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์ฯ กำหนด โดยพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 อนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาฯ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ส่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ซึ่งต้องให้แล้วเสร็จ และมีผลใช้บังคับภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567

นายอรรถพลกล่าวย้ำถึงประเด็นโต้แย้งของพีมูฟที่ว่า เป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยระบุว่า พระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับเป็นกฎหมายที่ให้สิทธิประชาชนในการอยู่อาศัยหรือทำกิน ในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับบุคคลใดที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ย่อมมีสิทธิในการพิสูจน์สิทธิการครอบครองตามกระบวนการพิสูจน์สิทธิ จึงมิใช่การลิดรอนสิทธิของประชาชนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการรับรองสิทธิให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยหรือทำกิน ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ตามที่กฎหมายกำหนด


สำหรับประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับจากการแก้ไขปัญหาตามร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ประกอบด้วย

  • ประชาชนสามารถอยู่อาศัยหรือทำกินเพื่อการดำรงชีพอย่างเป็นปกติธุระได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และสามารถกระทำการใดๆ ในเขตพื้นที่โครงการตามพระราชกฤษฎีกาฯ โดยไม่ต้องรับโทษ
  • หน่วยงานของรัฐ/ส่วนราชการ สามารถเข้าไปพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้ โครงการ เช่น การตัดไม้ยางพาราของบุคคลที่ได้รับสิทธิอยู่อาศัยหรือทำกินภายในพื้นที่โครงการ รวมการตัดไม้ที่ปลูกโดยเฉพาะไม้ผลของเกษตรกรที่ปลูกขึ้นเอง

ในส่วนการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (One Map) ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์นั้น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ตรวจสอบป่าอนุรักษ์ที่ได้เสนอแผนที่แนบท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาฯ 2 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 14 ป่าอนุรักษ์ พบว่า มีป่าอนุรักษ์ 6 แห่งที่อยู่ในท้องที่จังหวัด ที่ผ่านการพิจารณาแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (One Map) แล้ว และไม่มีผลกระทบกับแปลงที่ดินของราษฎรที่ได้ดำเนินการสำรวจที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินไว้ก่อนแล้ว ได้แก่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น จังหวัดจันทบุรี อุทยานแห่งชาติตาดหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง จังหวัดเพชรบูรณ์ และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี ส่วนป่าอนุรักษ์ที่เหลืออีก 8 แห่งอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ยังพิจารณาแนวเขตไม่แล้วเสร็จ

ทั้งนี้หากคณะรัฐมนตรีมีความห่วงใยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะขอถอนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ดังกล่าวค่อยเสนอเพิ่มเติมภายหลัง เพื่อไม่ให้พระราชกฤษฎีกาฯ ตกไป โดยเป็นพระราชกฤษฎาฯ แก้ไขเพิ่มเติม แต่ต้องให้พระราชกฤษฎีกาฯ ทั้ง 2 ฉบับแรกผ่านความเห็นชอบและมีผลบังคับใช้ทันภายในกำหนดเวลาที่ได้กล่าวไปแล้ว

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชเห็นว่า การปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (One Map) จะแล้วเสร็จต้องใช้เวลาหลายปี หากรอจนแล้วเสร็จ ในระหว่างนั้นจะไม่มีกฎหมายใดมารองรับการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน
จะส่งกระทบให้ราษฎรเสียสิทธิในการประกอบอาชีพในแปลงที่ดินที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน ในการพัฒนาอาชีพต่างๆ ที่เป็นลักษณะปัจเจกบุคคล ซึ่งกำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาฯ ทั้ง 2 ฉบับ หากภายหลังมีกฎหมายที่ให้ประโยชน์ต่อประชาชน ก็จะได้มีสิทธินั้นตามกฎหมายนั้นอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังพบว่า มีประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่อาศัยหรือทำกินบริเวณขอบแนวเขตป่าอนุรักษ์ ซึ่งการปรับปรุงแนวเขตฯไม่มีผลใดๆ กับประชาชนกลุ่มนี้ก็จะเสียสิทธิในการประกอบอาชีพนั้นไปด้วย

ส่วนการเสนอพระราชกฤษฎาฯ แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์อื่นๆ ก็จะตรวจสอบพื้นที่ให้เป็นไปโครงการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (One Map) ก่อนจะนำเสนอในครั้งต่อๆ ไป เพื่อประโยชน์และเป็นธรรมแก่ประชาชน . 512 – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รวบแล้ว! โจรบุกเดี่ยวชิงทอง 163 บาท กลางห้างย่านบางบ่อ

สมุทรปราการ 20 ส.ค. – หนีไม่รอด รวบโจรสวมชุดไรเดอร์ บุกเดี่ยวชิงทองกลางห้างดัง จ.สมุทรปราการ กวาดทอง 163 บาท พบของกลางบางส่วนซุกตู้ลำโพงในบ้าน จากกรณีคนร้ายแต่งตัวคล้ายไรเดอร์ สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทอง พร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน ก่อนกระโดดข้ามตู้หน้าร้าน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวม 163 บาท เป็นทองคำรูปพรรณประเภทสร้อยข้อมือ หนัก 5 บาท ประมาณ 5 เส้น น้ำหนัก 25 บาท, น้ำหนัก 3 บาท ประมาณ 30 เส้น น้ำหนักรวม 90 บาท, หนัก 2 บาท ประมาณ 24 เส้น น้ำหนักรวม 48 บาท (รวมสร้อยข้อมือ 79 เส้น) ก่อนวิ่งขึ้นรถ จยย.ที่จอดอยู่ด้านหน้า […]

หลักฐานชัด! ทหารกัมพูชาลอบวางทุ่น PMN-2 ภูมะเขือ

19 ส.ค.- กองทัพเรือพบหลักฐานสำคัญ ยืนยันทหารกัมพูชาลักลอบใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณภูมะเขือ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ชุดเก็บกู้กวาดล้างที่ 1 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกองทัพเรือ (นปท.ทร.) ซึ่งสนับสนุนการปฏิบัติงานเก็บกู้และกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ ร้อย ร.132 พัน.13 (ฐานเหนือเมฆ) ตรวจพบโทรศัพท์มือถือของทหารกัมพูชาที่ทิ้งไว้ในพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบภายในเครื่อง พบคลิปวิดีโอและภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทหารกัมพูชากำลังถือทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 พร้อมทั้งมีการบันทึกเสียงเป็นภาษาเขมร คาดว่าเป็นการสาธิตวิธีการใช้งาน ก่อนนำไปลักลอบฝังในพื้นที่ชายแดนไทย หลักฐานจากโทรศัพท์ยังระบุวันเวลาที่ถ่ายภาพและวิดีโอไว้อย่างชัดเจน จึงนับเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ยืนยันพฤติกรรมการละเมิดข้อตกลง และการใช้ทุ่นระเบิด ซึ่งขัดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ นปท.ทร. ได้แสดงถึงความรอบคอบและไหวพริบในการตรวจสอบหลักฐานทันที ก่อนส่งมอบให้หน่วยกองทัพบกในพื้นที่ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป. – สำนักข่าวไทย

“ทศพล” รุดมอบมาลัย “ภูมิธรรม” หลัง ครม.ชงนั่งผู้ว่าฯ เชียงใหม่

กองบินตำรวจ 20 ส.ค.-“ภูมิธรรม” เตรียมแถลงจับยาเสพติดลอตใหญ่ “ทศพล” รุดมอบมาลัย หลัง ครม.ชงนั่งผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 8.00 น. ที่กองบินตำรวจ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เดินทางมาขึ้นเครื่อง เพื่อไปแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดล็อตใหญ่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลตํารวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการ รมว.มหาดไทย ร่วมเดินทางด้วย ทั้งนี้เมื่อนายภูมิธรรมเดินทางมาถึง นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย ที่ ครม. มีมติเมื่อ 19 ส.ค. แต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้นำพวงมาลัยมามอบให้นายภูมิธรรมและปลัดกระทรวงมหาดไทย และร่วมเดินทางกับคณะด้วย โดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม อย่างไรก็ตามก่อนเดินทางเลขาธิการ ป.ป.ส. ได้รายงานสถานการณ์ยาเสพติดให้นายภูมิธรรมรับทราบ.-319.-สำนักข่าวไทย

มท.ชง ครม.แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กลอต 25 ตำแหน่ง

กทม.19ส.ค.-มท.ชง ครม.แต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กลอต 25 ตำแหน่ง ผู้ว่าฯ หนองบัวลำพู ผงาดขึ้นอธิบดี พช. โยก “สยาม” นั่งพ่อเมืองปากน้ำ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำแหน่งบริหารระดับสูงให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 25 ตำแหน่ง อาทิ นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นผู้ว่าฯ สมุทรปราการ นายจุมพฎ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าฯ บึงกาฬ เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าฯ ตาก เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุรศักดิ์ อักษรกุล ผู้ว่าฯ หนองบัวลำภู เป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เป็นผู้ว่าฯ ชลบุรี นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าฯ […]

ข่าวแนะนำ

ล่า 18 วัน รวบแล้วมือยิง “กำนันเล้น”

ตรัง 21 ส.ค.- เหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธสงครามเอ็ม 16 ยิงถล่มกำนันตำบลนาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เสียชีวิตคารถ เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ล่าสุดวันนี้ตำรวจรวบตัวคนร้ายได้แล้ว หลังหนีกบดานนานถึง 18 วัน พร้อมเตรียมสอบสวนหามูลเหตุจูงใจ ติดตามจากรายงาน -สำนักข่าวไทย

เสริมเขี้ยวเล็บ! ทัพเรือรับมอบปืนใหญ่ ระยะยิง 40 กม.

ชลบุรี 21 ส.ค.- กองทัพเรือเสริมเขี้ยวเล็บ! รับมอบปืนใหญ่ 155 มิลลิเมตร แบบอัตตาจร ระยะยิง 40 กม. เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศ วันนี้ 21 ส.ค.68 ที่หน้ากองบัญชาการ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร กองทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ) รับมอบปืนใหญ่ ขนาด 155 มิลลิเมตร แบบอัตราจรล้อยาง จากศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์อุตสหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร จำนวน 6 กระบอก โดยมี พลเรือโท ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล รองเสนาธิการทหารเรือและประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาปืนใหญ่ฯ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนข้าราชการ กำลังพล เข้าร่วมในพิธี  การดำเนินโครงการจัดหาปืนใหญ่ ขนาด 155 มิลลิเมตร แบบอัตตาจร ล้อยาง (ATMG) นับเป็นการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการเสริมสร้างกำลังรบหลักของ ทร. เพื่อให้ […]

แผ่นดินไหวนอกชายฝั่งเมียนมา เกิดจากรอยเลื่อนสะกาย ย้ำ กทม.ไม่กระทบโครงสร้าง

กรุงเทพฯ 21 ส.ค. – กรมทรัพยากรธรณี เผยเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 5.4 ความลึก 10 กม. เกิดจากการเคลื่อนตัวแนวระนาบของรอยเลื่อนสะกาย บริเวณนอกชายฝั่งตอนใต้ของเมียนมา ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 500 กม. ด้านสมาคมวิศวกรโครงสร้างฯ เตือนอย่าตื่นตระหนก คนกรุงบนตึกสูงรู้สึกสั่น แต่ไม่กระทบโครงสร้าง กรมทรัพยากรธรณีชี้แจงกรณีแผ่นดินไหวขนาด 5.4 ความลึก 10 กิโลเมตร เมื่อเวลา 09.58 น. ตามเวลาประเทศไทย บริเวณนอกชายฝั่งตอนใต้ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 500 กิโลเมตร การตรวจสอบพบว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดจากการเคลื่อนตัวของ “รอยเลื่อนสะกาย” แนวระนาบเหลื่อมขวา (right-lateral strike-slip fault) ซึ่งมีอัตราการเคลื่อนที่เฉลี่ยปีละ 2 เซนติเมตร รอยเลื่อนนี้เคยสร้างแผ่นดินไหวใหญ่หลายครั้ง อาทิ ปี 2473 ขนาด 7.3 มีผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน และเมื่อ 28 […]

นายกฯ พยักหน้ารับกำลังใจดี ศาล รธน.นัดชี้ชะตา 29 ส.ค.

ศาลรัฐธรรมนูญ 21 ส.ค.- นายกฯ พยักหน้ารับกำลังใจดี หลังไต่สวนคดีคลิปเสียงเสร็จ ประชาชนตะโกน “นายกฯ สู้ๆ” ด้านศาล รธน. นัดอ่านคำวินิจฉัยคดี 29 ส.ค. ย้ำ ห้ามเผยแพร่ข้อมูลและห้ามบิดเบือน ภายหลังการไต่สวนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที คดีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ศาลรัฐธรรมนูญได้กลับมาเผยแพร่โทรทัศน์วงจรปิดอีกครั้ง โดยนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ศาลได้บันทึกเสียงและภาพการไต่สวนแล้ว และย้ำอีกครั้งว่า ห้ามผู้เข้าฟังการไต่สวน นำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามมิให้บิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน ศาลได้สั่งให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันจันทร์ที่ 25 ส.ค. จากเดิมให้ยื่น 27 ส.ค. ซึ่งหากไม่ยื่นจะถือว่าไม่ติดใจ และนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือและลงมติ วันที่ 29 ส.ค. เวลา 09.30 น. นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันเดียวกัน เวลา 15.00 […]