คพ. เฝ้าระวังผลกระทบแคดเมียม จนกว่าฝังกลบแล้วเสร็จ

กรุงเทพฯ 6 เม.ย.-อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เผยเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกรณีการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสี จ.สมุทรสาคร ยังไม่พบปนเปื้อน โดยจะเฝ้าระวังต่อเนื่องระหว่างรอกระทรวงอุตสาหกรรมและจังหวัดสมุทรสาคร กำหนดแผนขนย้ายไปฝังกลบที่ จ. ตาก พร้อมให้คำแนะนำในการขนย้ายเพื่อความปลอดภัย

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวว่า สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกรณีการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสี จากบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนต์ (มหาชน) (ชื่อเดิม บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด) มายัง บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหล่อและหลอมอะลูมิเนียมแท่ง อะลูมิเนียมเม็ดจากเศษอะลูมิเนียมและตะกรันอะลูมิเนียม (Scrap and Dross) จังหวัดสมุทรสาคร


ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษเข้าร่วมตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2567 โดยเก็บตัวอย่างกากแร่แคดเมียมและสังกะสีและตัวอย่างคุณภาพสิ่งแวดล้อมตรวจสอบได้แก่

  • กากแคดเมียมและสังกะสี
  • ดินภายในโรงงาน (ในโรงหลอมและนอกโรงหลอม)
  • เถ้าจากระบบบำบัดอากาศจากการหลอม
  • ดินบริเวณนอกโรงงาน
  • ไอระเหยสารเคมีในบรรยากาศ
  • น้ำทิ้ง

ผลการตรวจวัดในเบื้องต้นพบดังนี้


  • กากแคดเมียมและสังกะสี มีปริมาณแคดเมียม 24,884 มก./กก. ซึ่งถือเป็นของเสียอันตรายเนื่องจากมีปริมาณวัสดุเจือปนแคดเมียมสูงเกิน 100 มก./กก. (ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566)
  • ดินในโรงหลอม พบปริมาณแคดเมียม 7,159 มก./กก. ดินภายในโรงงานนอกโรงหลอม พบปริมาณแคดเมียม 31,584 มก./กก. และดินหน้ารั้วโรงงาน พบปริมาณแคดเมียม 2,838 มก./กก. ซึ่งทั้ง 3 จุด พบว่าสูงเกินเกณฑ์การปนเปื้อนในดินภายในโรงงาน (เกณฑ์การปนเปื้อนในดินภายในโรงงาน ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินฯ พ.ศ. 2559 ต้องไม่เกิน 810 มก./กก.) –
  • เถ้าจากระบบบำบัดอากาศจากการหลอม ตรวจไม่พบแคดเมียม
  • ดินบริเวณชุมชนด้านเหนือลมและท้ายลมในระยะ 10 เมตร ตรวจไม่พบปริมาณแคดเมียม
  • ตรวจไม่พบไอระเหยสารเคมีในบรรยากาศ

ทั้งนี้ได้เก็บตัวอย่างน้ำ 3 จุด ได้แก่ 1) รางระบายน้ำหน้าโรงหลอม 2) รางระบายน้ำหน้าอาคารสำนักงาน และ 3) คลองธรรมชาติซึ่งจะต้องนำเข้าตรวจในห้องปฏิบัติการซึ่งจะได้เร่งรัดผลโดยเร็ว

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษกล่าวว่า ได้ประชุมหารือร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 3 (พิษณุโลก) สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 5 (นครปฐม) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรสาคร (ทสจ.สมุทรสาคร) และจังหวัดตาก (ทสจ.ตาก) เพื่อติดตามความก้าวหน้าและซักซ้อมเตรียมการให้การสนับสนุนทางเทคนิคในการวางแผนขนย้ายกากของเสียจากจังหวัดสมุทรสาครกลับมาฝังกลบแบบปลอดภัย ณ จังหวัดตากรวม 7 ประการประกอบด้วย

1) จากการตรวจพบแคดเมียมในดินหน้ารั้วโรงงานบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอาจจะติดไปกับล้อรถขนส่งได้ จึงมีข้อเสนอให้ มีการดูดฝุ่นและจัดเก็บดินปนเปื้อนเพื่อไปกำจัดอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ได้หยุดประกอบกิจการชั่วคราวตามคำสั่งของอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และไม่มีคนงานเข้าไปทำงานแล้ว
2) คนงานที่ปฏิบัติงานในโรงงาน บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร รวม 19 ราย เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ได้รับการเก็บตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจสอบแล้ว 11 ราย เหลืออีก 8 ราย ซึ่งจะมีการเก็บปัสสาวะเพิ่มเติมในวันที่ 9 เมษายน 2567
3) ทสจ. สมุทรสาครได้ขอความรู้เรื่องการพิจารณาการปนเปื้อนของกากของเสียในสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อนำเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครต่อไป
4) จากข้อเสนอให้มีการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสีกลับมาฝังกลบแบบปลอดภัย ณ หลุมฝังกลบเดิม จังหวัดตาก นั้น มีข้อห่วงกังวลด้านโครงสร้างทางวิศวกรรมของหลุมฝังกลบเนื่องจากมีการเปิดหลุมและใช้เครื่องมือหนักในการขุดกากแคดเมียมและสังกะสีออกไป จึงเสนอให้มีการตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรมดังกล่าวว่า มีความพร้อมในการดำเนินการฝังกลบแบบปลอดภัยอีกครั้งได้หรือไม่ อีกทั้งหากยังไม่มีความพร้อมควรดำเนินการจัดเตรียมอาคารจัดเก็บชั่วคราวอย่างไร หรือควรจัดเก็บไว้ในโกดัง บริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ไปพลางก่อน เนื่องจากอาคารโกดังของบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) จังหวัดตาก ได้รับการรื้อถอนหมดนานแล้ว
5) กรณีกากที่จะนำไปฝังกลบต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติของกากของเสีย (TTLC/STLC) และอื่นๆ ในห้องปฏิบัติการ เพื่อประกอบการพิจารณาว่าต้องมีการดำเนินการบำบัดกากของเสียก่อนฝังกลบตามหลักเกณฑ์การฝังกลบแบบปลอดภัยอีกครั้งหนึ่งด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ในระยะเวลาในการเตรียมการข้อ 2 และการตรวจคุณสมบัติกากเช่นว่านี้ อาจต้องใช้เวลาไม่สามารถดำเนินการรองรับการขนขนย้ายกากของเสียให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครกำหนดไว้ได้
6) การพิจารณาข้อจำกัดด้านความพร้อมด้านอุปกรณ์เครื่องมือในการติดตามตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดตากและ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 3 (พิษณุโลก) รวมทั้งจังหวัดเส้นทางขนส่งที่มีระยะทางค่อนข้างไกลจากจังหวัดสมุทรสาครและ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 5 (นครปฐม) ในพื้นที่รับผิดชอบเกี่ยวข้อง อาจไม่เพียงพอรองรับการเฝ้าระวังผลกระทบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการดำเนินการขนย้ายกากดังกล่าว
7) เมื่อพิจารณาประเมินความพร้อมและความเป็นไปได้ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแล้วอาจมีความเสี่ยงในการดำเนินการและอาจล่าช้าไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด อาจต้องพิจารณาทางเลือกในการฝังกลบที่สถานกำจัดกากของเสียอื่นในจังหวัดสมุทรสาครหรือจังหวัดอื่นที่ใกล้เคียง เพื่อลดความเสี่ยงจากการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสีซึ่งมีปริมาณมาก


กรมควบคุมมลพิษได้ฝากประเด็นข้อพิจารณาต่างๆ ดังนี้นี้ ตามข้อ 4 – 7 ให้ ทสจ.ตาก และสมุทรสาคร นำเรียนปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อหารือร่วมกันประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับทางเลือกในการกำจัดกากที่กองเก็บอยู่ภายในโรงงานดังกล่าว

สำหรับผลการตรวจสอบตัวอย่างดินบริเวณรอบโรงงานซึ่งขยายรัศมีการเก็บตัวอย่างจากเดิมในระยะไม่เกิน 10 เมตร ไปจนถึงระยะไม่เกิน 1 กิโลเมตร ตรวจไม่พบการปนเปื้อนของแคดเมียม ยกเว้นบริเวณหน้ารั้วโรงงาน พบแคดเมียมในระดับ 3,430 มก./กก. (สูงเกินเกณฑ์การปนเปื้อนในดินภายในโรงงาน ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดเกณฑ์การปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินฯ พ.ศ. 2559 ต้องไม่เกิน 810 มก./กก.)

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษเฝ้าระวังผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนี้มีคำสั่งปิดพื้นที่ไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปแล้ว

ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีพบสารแคดเมียมกว่า 15,000 ตัน ในจังหวัดสมุทรสาคร ว่า ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ สำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรสาคร เข้าตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นยังไม่มีข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากสารแคดเมียมในบริเวณดังกล่าว ตลอดจนกากแคดเมียมและกากสังกะสี ซึ่งผสมด้วยปอร์ตแลนด์ซีเมนต์ 30 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันอยู่ในสถานะแข็งตัวและเสถียร หากเก็บไว้ในสถานที่มิดชิดและไม่มีการชำระล้าง จะยังไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเน้นย้ำให้กรมควบคุมมลพิษให้เก็บตัวอย่าง เพื่อตรวจสอบหาสารปนเปื้อนทั้งในโรงงาน ในอากาศ และแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อรายงานผลให้ประชาชนรับทราบโดยด่วน เพราะหากใช้เวลานานเกินไปก็จะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนได้ นอกจากนี้สั่งการให้กรมควบคุมมลพิษส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่พบประชาชนเพื่อให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิตในช่วงนี้ด้วย

ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษต้องร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการให้คำแนะนำ ปรึกษา ในด้านวิชาการ ช่วยดูแลการขนย้ายและเก็บรักษาแคดเมียมให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด โดยจะมีการตั้งคณะทำงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ดูแลเรื่องนี้จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และยังได้ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบโรงงานถลุงแร่ว่ามีการจัดทำ EIA และได้ปฏิบัติตามมาตรการ EIA ที่กำหนดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบแล้วพบว่าสภาพแวดล้อมมีสารปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ให้ดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายโดยเคร่งครัด รวมถึงค่าการฟื้นฟูบริษัทต้องรับผิดชอบตามหลักผู้ก่อมลพิษ หรืออาจจะต้องถูกยึดใบอนุญาตประกอบกิจการจากหน่วยงานที่ให้อนุญาตด้วย.- 512 – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด

29 ก.ค.- โฆษกทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด ยังนัดหมายพบปะกันไม่ได้ แต่พยายามอยู่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 โดยฝ่ายไทย พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาค1 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และฝ่ายกัมพูชา พล.อ.โปว เฮง ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 และ พล.อ.แอก ซอมโอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 5 ทั้ง 2 ฝ่ายยังนัดหมายพบปะไม่ได้ เลื่อนไป ยังไม่มีระบุเวลา (เดิมเวลา 10.00 น.) แต่ยังพยายามอยู่ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร​” ไม่แปลกใจ กัมพูชาไม่เป็นสุภาพบุรุษ

ทำเนียบ 29 ก.ค.- “แพทองธาร​” ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษของ “กัมพูชา” หลังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ชี้ต้องฟ้อง ปท. ที่เข้ามาเป็นพยานด้วย บอก​ จะถาม “ภูมิธรรม” ให้ ต้องออกแถลงการณ์โต้หรือไม่​ นางสาวแพทองธาร​ ชินวัตร​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม​ กล่าวถึงกรณีกัมพูชาละเมิดข้อตกลง​หยุดยิง ว่า​ เมื่อสักครู่​ ได้อัปเดตกับทางทีมงาน​ มีการพูดคุยกันว่า​ ถ้าเป็นแบบนี้​ ก็ต้องมีการแจ้งให้ประเทศที่เข้ามาเป็นพยานได้ทราบด้วย​ ว่า​ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น​ แต่ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว​ เมื่อถามว่ารัฐบาลจะต้องมีการออกแถลงการณ์อีกครั้งหรือไม่​ หลังจากกัมพูชาไม่หยุดยิง นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า เดี๋ยวอันนั้นจะสอบถามนายภูมิธรรม​ เวช​ย​ชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​.-315 -สำนักข่าวไทย

กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล

29 ก.ค.- กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและประชาชน หลังกัมพูชาจงใจละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายความเชื่อมั่นในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดทางสู่สันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ระบุกองทัพไทย ได้รับการยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด หยุดยิงทุกพื้นที่ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา โดยยึดมั่นในคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันให้ไว้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหลังจากกำหนดหยุดยิง ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในหลายจุด ถือเป็นการกระทำที่ จงใจละเมิดข้อตกลง และบ่อนทำลายความเชื่อมั่น ที่ควรมีต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพไทย ขอประณามพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา และขอยืนยันว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการโต้กลับ ภายใต้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยมิได้ใช้กำลังเพื่อรุกราน แต่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และความปลอดภัยของประชาชน “เมื่อเราหยุด แต่เขาไม่หยุด…โลกต้องได้รับรู้ว่า กัมพูชาคือผู้ละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่ายที่ไม่เคารพกติกาสากล ไม่ยึดถือข้อตกลงระหว่างประเทศใด ๆ ที่ได้ประกาศไว้ในเวทีระดับโลก และเป็นภัยต่อความมั่นคงของภูมิภาคและของโลก” การยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ เท่ากับเปิดช่องให้ความอยุติธรรมกลายเป็นบรรทัดฐานในระบบระหว่างประเทศ […]

ทบ. ประณาม “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

29 ก.ค.- ทบ. ประณาม “กัมพูชา”ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ขณะที่ไทยยึดมั่นพันธกรณีฯ อย่างเคร่งครัด แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเองตอบโต้อย่างเหมาะสม ขยับเวลาถกผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่เป็น 10 โมงเช้า วันที่ 29 กค.68 เวลา 7.30 น. พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาว่าตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งความสงบ ลดความตึงเครียด และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น กองทัพบกขอเรียนว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำการหยุดยิง บริเวณพื้นที่แนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึง กำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตราการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล พลตรีวินธัย ยังระบุว่า เบื้องต้น การพบปะผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่ มีการขยับเวลา […]