รู้จักดอกไม้เพลิงและอันตรายจากการผลิตดอกไม้เพลิง

กรุงเทพฯ 18 ม.ค.- กรมอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตดอกไม้เพลิง โดยอาจเกิดอันตรายได้ทั้งจากการเกิดไฟไหม้ การระเบิด การได้รับสารเคมี การได้รับเสียงดัง และอันตรายจากความร้อน 


กรมอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ “อันตรายจากการผลิตดอกไม้เพลิง” โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นหนึ่งใน 5 หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการผลิต การค้า การครอบครอง การขนส่งดอกไม้เพลิงและวัตถุดิบที่ใช้ไนการผลิตดอกไม้เพลิงตามประกาศกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์การควบคุมและการกำกับดูแลการผลิต การค้า การครอบครอง การขนส่งดอกไม้เพลิงและวัตถุดิบที่ใช้ไนการผลิตดอกไม้เพลิง พ.ศ. 2547

สำหรับดอกไม้เพลิงคือ ผลิตภัณฑ์หรือสารผสมชนิดหนึ่งที่ออกแบบขึ้น เมื่อทำให้เกิดความร้อนจะทำให้เกิดเป็นสี แสง เสียง หรือควัน ในลักษณะต่างๆ โดยกระบวนการเผาไหม้ ติดไฟ และการระเบิด


ดอกไม้เพลิงมีมากมายหลายชนิด โดยแตกต่างกันที่องค์ประกอบของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตและการบรรจุอัดเข้าไว้ในรูปทรงที่ต่างกัน สามารถแบ่งตอกไม้เพลิงออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ดอกไม้เพลิงขนาดเล็ก ( Consumer fireworks) ใช้เพื่อความบันเทิงและเกิดสีที่สวยงามเกิดเป็นเสียงหรือควัน มีปริมาณของส่วนผสมที่เป็นวัตถุระเบิดแต่ละชิ้นไม่เกิน 50 มิลลิกรัมได้แก่ ประทัด ไฟเย็น พลุขนาดเล็ก เม็ดมะยม กระเทียม กระจับ เป็นต้น

2. ดอกไม้เพลิงขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพรุนแรงกว่าดอกไม้เพลิงขนาดเล็ก (Display fireworks) ใช้กับงานแสดงในที่กว้าง โล่งแจ้ง ผู้ใช้จะต้องมีความชำนาญ ได้รับการฝึกอบรมในการใช้มาก่อนเท่านั้นเช่น พลุขนาดใหญ่ โรมันแคนเดิลขนาดใหญ่ ดอกไม้ไฟน้ำตกขนาดใหญ่ และดอกไม้เพลิงที่ใช้เป็นตัวอักษร เป็นต้น


สารเคมีที่ใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิงมี 5 ประเภทประกอบด้วย

1. สารเคมีที่ให้ออกซิเจน (Oxidizing agent) ในการเกิดปฏิกิริยาของดอกไม้เพลิงนั้นจะอาศัยออกซิเจนจากอากาศเพียงอย่างไม่เพียงพอ จำเป็นต้องอาศัยออกชิเจนบางส่วนหรือทั้งหมดจากสารที่ให้ออกซิเจนได้แก่ สารโพแตสเซียมไนเตรตหรือดินประสิว สารโพแตสเซียมคลอเรตซึ่งใช้สารเร่งดอกและผลลำไย (เคยเกิดระเบิด) และสารโพแตสเซียมเปอร์คลอเรต 

2. สารเคมีที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง (Fuels) ในขณะเกิดการผาไหม้ได้แก่ ถ่าน กำมะถัน สังกะสี แป้ง แมกนีเชียม ผงคาร์บอเนต และผงอลูมิเนียม เป็นต้น

3. สารที่ช่วยในการเกาะตัวของส่วนผสม (Binder) เช่น แป้ง น้ำตาล เป็นต้น

4. สารเคมีที่ใช้เป็นตัวทำให้เกิดสี (Coloring agent) ส่วนใหญ่จะเป็นเกลือของโลหะชนิดต่างๆ เมื่อได้รับแรงระเบิดจนกลายเป็นไอจะทำให้เกิดเป็นแถบสีต่างๆ ตามความยาวคลื่นของเกลือโลหะนั้นๆ เช่น สีแดงได้จากสตรอนเซียมไนเตรต สีเขียวได้จากแบเรียมไนเตรต เป็นต้น

5. ดินดำ (Black powder) เป็นสารผสมที่ประกอบด้วยโพตัสเชียมไนเตรต ซัลเฟอร์ และผงถ่าน ดินดำจะทำให้ลุกติดไฟง่าย ไวต่อการกระแทก และเสียดสีจึงใช้ในดอกไม้เพลิงเกือบทุกชนิดเพื่อช่วยในการจุดตัวของดอกไม้เพลิง

สำหรับอันตรายที่เกิดจากกระบวนการผลิตดอกไม้เพลิงมี 4 ประการได้แก่ อันตรายจากการเกิดไฟไหม้และการระเบิด อันตรายจากการได้รับสารเคมี อันตรายจากการได้รับเสียงดัง และอันตรายจากความร้อน

– อันตรายจากการเกิดไฟไหม้และการระเบิดนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักเกิดขึ้นที่โรงงานผลิตและโกดังเก็บ แต่ละครั้งที่เกิดเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งสูญเสียทรัพย์สินทั้งของผู้ประกอบกิจการและผู้อื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเนื่องจากสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิตเป็นสารที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เป็นสารที่ให้ออกซิเจน และเป็นสารที่ทำให้ลุกติดไฟง่าย ไวต่อการกระแทก และเสียดสี ดังนั้นเมื่อมีการใช้เครื่องมือเจาะที่ทำให้เกิดความร้อนหรือประกายไฟ การสูบบุหรี่ การสาธิตหรือทดลองในบริเวณที่มีการผลิตจะทำให้ระเบิดและลุกติดไฟทันที การเก็บดอกไม้เพลิงเป็นจำนวนมากไว้ในโกดังอาจป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเสียดสีกันหรือการล้มหรือหล่นของกองดอกไม้เพลิง หรือแม้แต่การเก็บสารเคมีที่จะใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิงเป็นจำนวนมากไว้ในบริเวณเดียวกันกับที่มีการผลิตตอกไม้เพลิงก็อาจทำให้เกิดปฏิกิริยากันเองและเกิตการลุกติดไฟและระเบิดขึ้น

– อันตรายจากการได้รับสารเคมี ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการผลิตตอกไม้เพลิงจะทำให้ได้รับสารเคมีจากกระบวนการผลิตโดยสารแต่ละชนิดมีอันตรายแตกต่างกันเช่น สารโพแตสเชียมเปอร์คลอเรตทำให้เกิดการระคายต่อผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจส่วนบน สารซัลเฟอร์หรือกำมะถันทำให้เกิดอาการตาแดง ผิวหนังอักเสบ หายใจขัด เกิดการระคายเคืองที่ระบบทางเดินหายใจ สารโพตัสเซียมไนเตรต ถ้าสัมผัสจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อบุผิวหนัง ถ้ากลืนกินเข้าไปจะทำให้คลื่นไส้ ท้องเสีย และกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ สารแบเรียมไนเตรต มีพิษมากจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหู ตา จมูก และผิวหนัง อาจทำลายตับ ม้าม และยังทำให้เกิดอัมพาตที่แขน ขา และบางรายอาจทำให้เสียชีวิตได้ เป็นต้น

– อันตรายการได้รับเสียงดัง มักเกิดจากการจุดดอกไม้เพลิงในการทดสอบประสิทธิภาพ และผู้ที่ซื้อไปใช้ในงานต่างๆ จากการศึกษาของสำนักอนามัยและสิ่งแวดล้อมพบว่าระดับความดังของเสียงจากการระเบิดของตอกไม้เพลิงส่วนใหญ่เป็นเสียงกระแทกสูงกว่า 130 แซิเบล เอ ที่ระยะห่างจากจุดกำเนิดเสียง 4 เมตร ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ 85 เดซิเบล เอ ระดับเสียงที่สูงกว่า 130 เดซิเบล เอ นี้จะมีผลทำให้เกิดอาการหูตึงชั่วคราว ถ้าได้รับเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการหูตึงถาวรได้

– อันตรายจากความร้อน ดอกไม้เพลิงบางชนิดให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงมากคือ ประมาณ 1,200 – 1,800 องศาฟาเรนไฮต์ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังไหม้หรือตาบอดได้เช่น ดอกไม้เพลิงที่เรียกว่า ไฟเย็น เมื่อจุดแล้วจะให้สีสันต่างๆ เป็นต้น

การป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการประเภทผลิตดอกไม้เพลิงเช่น

– ไม่ควรทำให้เกิดการเสียดสีหรือเกิดความร้อนสูงกับวัสดุที่ห่อหุ้มดอกไม้เพลิงหรือยั้งไฟเช่น การใช้สว่านไฟฟ้าเจาะวัสดุที่ห่อหุ้มบั้งไฟควรทำก่อนที่จะมีการบรรจุดินปืนและสารเคมีอื่นๆ

– ไม่ควรเก็บผลิตภัณฑ์ดอกไม้เพลิงไว้จำนวนมากในโกดังเพราะอาจทำให้ร่วงหล่นหรือล้มเป็นสาเหตุให้เกิดการกระทบกระแทกกันและระเบิดขึ้นได้

– ควรแยกเก็บสารเคมีที่ยังไม่ใช้ในออกจากกระบวนการผลิตและควรแบ่งนำมาใช้แต่พอดี สารต่างชนิดกันไม่ควรก็บไว้ในที่เดียวกันเช่น สารกำมะถันกับสารโพแตสเชียมเปอร์คลอเรต หากผสมกันก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ นอกจากนี้การนำสารมาใช้แต่พอดียังเป็นการป้องกันมีให้เกิดเหตุรุนแรงด้วย

– ห้องทดลองควรแยกต่างหากห่างจากบริเวณที่เก็บผลิตภัณฑ์ดอกไม้เพลิงและสารเคมีที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต

– ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลเช่น ถุงมือ หน้ากากป้องกันอนุภาคของสารเคมีนั้นๆ แว่นตา ที่ครอบหูป้องกันเสียง เป็นต้น

– ห้ามสูบบุหรี่หรือมีแหล่งประกายไฟหรือแหล่งความร้อน อาจเป็นสาเหตุของการระเบิดและการติดไฟในบริเวณที่มีการผลิตตอกไม้เพลิง บริเวณแหล่งเก็บสารเคมีและวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิต

– ควรให้ความรู้แก่พนักงานที่ผลิตตอกไม้เพลิงให้ทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นและวิธีการปฏิบัติงานอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น

– ไม่ควรตั้งอาคารผลิตดอกไม้เพลิงในบริเวณที่มีแหล่งชุมชนหรือใกล้ที่พักอาศัยหรืออยู่ในบริเวณเดียวกันกับที่พักอาศัย

– ควรมีการควบคุมอุณหภูมิภายในอาคารผลิตไม่ให้มีอากาศร้อนจัดเกินไปเพราะจะทำให้สารเคมีที่ใช้ในการผลิดตอกไม้เพลิงเกิดการจุดตัวและระเบิดด้วยตัวเอง

– อุปกรณ์ฟฟ้าทุกชนิดที่ในอาคารผลิตควรจะป้องกันการระเบิดได้ (Explosion proof)

– อาคารผลิตดอกไม้เพลิงจะต้องมีการออกแบบและการก่อสร้างที่ดีเช่น ควรเป็นอาคารชั้นเดียว ไม่มีชั้นใต้ดินหรือชั้นลอย ใช้วัสดุที่ทนต่อระเบิดหรือไฟไหม้

– ควรทำความสะอาดภายในบริเวณอาคารเก็บวัตถุระเบิด สารเคมี และสินค้าดอกไม้เพลิงเป็นประจำ และรักษาภายในบริเวณอาคารให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ อย่าให้มีเศษกระดาษ เศษฝุ่นผง หรือขยะอื่นๆ อยู่ภายในอาคาร สำหรับไม้กวาดหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดต้องไม่มีส่วนที่เป็นโลหะที่สามารถก่อให้เกิตประกายไฟได้

ในการจัดก็บวัตถุระเบิด สารเคมีที่ใช้ในการผลิตหรือสินค้าดอกไม้เพลิงภายในอาคาร ควรจัดวางสารชนิดเดียวกันให้อยู่ในบริเวณเดียวกันและติดฉลากหรือสัญลักษณ์แสดงชนิดของสารให้สามารถเห็นได้ง่ายและชัดเจน.-512 – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ไทยตอนบนฝนน้อย ทะเลอันดามัน-อ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 ม.

กทม. 3 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนน้อย ส่วนทะเลอันดามันและอ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อยเนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง – สำนักข่าวไทย

กระเช้าหลุด ช่างทาสีร่วงตึก 5 ชั้น ตาย 1 สาหัส 1

พัทลุง 2 ส.ค. – เกิดเหตุสลด กระเช้าปลายบูมหลุดจากเครน ช่างทาสีร่วงจากตึก 5 ชั้น เสียชีวิต 1 เจ็บสาหัส 1 ที่ไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียน จ.พัทลุง เกิดเหตุสลดกลางไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียนแห่งหนึ่ง ในตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อกระเช้าที่ผูกติดกับหัวเครนเกิดหัก หลุดจากตึกสูง 5 ชั้น ส่งผลให้ช่างทาสี 2 คน ที่อยู่บนกระเช้าร่วงตกลงกระแทกพื้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 คน คือ นายธวัชชัย อายุ 36 ปี และนายชุติเดช อายุ 43 ปี บาดเจ็บสาหัส ขาทั้งสองข้างหักละเอียด แขนซ้ายหักผิดรูป เจ้าหน้าที่เร่งให้การช่วยเหลือก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลพัทลุงอย่างเร่งด่วน ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า คนงานทั้ง 2 เป็นช่างทาสี ได้ขึ้นกระเช้าเหล็กเพื่อขึ้นไปทาสีบริเวณชั้น 5 ของอาคาร ซึ่งมีความสูงประมาณ 26 เมตร แต่ด้วยน้ำหนักของคนงานทั้งสองคน […]

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

ทำเนียบ 2 ส.ค.-รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final […]

EOD เก็บกู้ระเบิดฝังอยู่ใกล้ปั๊มที่ถูกกัมพูชายิงใส่

ศรีสะเกษ 2 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ EOD ทำลายหัวระเบิด HE ของจรวด BM 21 ที่ฝังอยู่บนถนนกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD เริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อทำลายระเบิดที่ฝังอยู่ในถนน บ้านน้ำเย็น-บ้านผือ ฝั่งมุ่งหน้าเขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นระเบิดที่ฝั่งกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือน โดยจุดที่ระเบิดถูกฝังบนถนนอยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นระเบิดที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม พร้อมกับเหตุการณ์ยิงกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม จนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย เจ้าหน้าที่ได้นำกระสอบทรายมาทำเป็นบังเกอร์ล้อมรอบจุดที่ระเบิดฝังอยู่ในถนน เจ้าหน้าที่ชุดจากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่ 22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC โดยมีการปิดถนนรัศมี 1 กิโลเมตร […]