สมุทรปราการ 8 ก.ค. – พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท.ในฐานะโฆษกฯ ยกมือไหว้ขอโทษประชาชนกับเหตุการณ์ “ด.ต.” ในสังกัดทำลายภาพลักษณ์ กรณีเรียกรับผลประโยชน์จากสถานบันเทิงในพื้นที่ สภ.บางใหญ่
พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ยกมือไหว้ขอโทษประชาชนกับเหตุการณ์ ด.ต. ในสังกัดตำรวจท่องเที่ยวทำลายภาพลักษณ์ และสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน กรณีเรียกรับผลประโยชน์จากสถาบันเทิงในพื้นที่ สภ.บางใหญ่ ทั้งนี้ ยอมรับว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์จริง โดยวันเกิดเหตุ คือวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาได้มีการสั่งการให้ ด.ต.รายดังกล่าว ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่กรุงเทพใต้ เช่น สน.ประเวศ, สน.บางรัก, สน.ทองหล่อ แต่ปรากฏว่า ด.ต.นายดังกล่าวกลับนำรถยนต์สายตรวจตำรวจท่องเที่ยว หมายเลข 112 ขับไปยังพื้นที่ สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พร้อมกับนายมานัส สุขสม ผู้ต้องหาชาวสุพรรณบุรี ทำการเรียกรับผลประโยชน์กับสถานบันเทิงในพื้นที่ ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าจับกุมพร้อมเงินของกลาง
สำหรับพฤติการณ์ของ ด.ต.รายนี้ พบว่ามีการอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง แต่มีการขับรถตำรวจท่องเที่ยวไปเรียกรับเงิน โดยมีการสวมใส่เสื้อกั๊กสีดำ มีตราตำรวจท่องเที่ยว ส่วนเครื่องแบบตำรวจถูกแขวนไว้ในรถสายตรวจ ร่วมกับนายมานัส ที่ขับรถเก๋งอีกคัน โดยนายมานัส จะอ้างว่าตนเองเป็นตำรวจท่องเที่ยวเข้าไปสมทบก่อเหตุ
ด.ต.ภูวเมศร์ หิรัญวงศ์วราดล ผบ.หมู่ ส.ทท.1 กก.1 บก.ทท.2 อายุ 38 ปี เข้ารับราชการตั้งแต่ปี 2553 รวม 12 ปี โดยก่อนหน้านี้ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ก่อนจะถูกโยกย้ายมาอยู่กรุงเทพเมื่อต้นเดือน ม.ค. 65 ซึ่งตอนแรกที่ย้ายมาได้ปฏิบัติหน้าที่สายตรวจ แต่ต่อมาถูกผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ด้านธุรการ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 65 กระทั่งเดือน มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวมีการติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนกำลังพลเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยงานออกตรวจ ทำให้ ด.ต.รายนี้มีโอกาสที่ใช้รถสายตรวจในการก่อเหตุ ทั้งนี้ จากการที่ ด.ต.รายนี้ถูกโยกย้ายจากเมืองพัทยา และปรับเปลี่ยนหน้าที่ก็ทำให้เชื่อได้ว่าผู้บังคับบัญชาน่าจะเล็งเห็นถึงความผิดปกติในการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่ให้ทำงานใกล้ชิดประชาชน ส่วนสาเหตุการโยกย้าย คณะกรรมการยังไม่ได้มีการสอบสวนหรือพูดคุยกับ ด.ต.แต่อย่างใด จึงไม่ทราบสาเหตุถึงข้อเท็จจริงในการโยกย้าย
ส่วนบทลงโทษแบ่ง 2 ส่วน ส่วนแรกคดีอาญา นายมานัส จำเลยที่ 1 ถูกแจ้งข้อหาแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานกระทำการ และกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยที่ตนไม่ได้มีอำนาจหน้าที่นั้น ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ส่วน ด.ต.ภูวเมศร์ ถูกดำเนินคดีในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต ส่วนบทลงโทษทางวินัยตอนนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พร้อมกับให้ออกจากราชการไว้ก่อน นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคณะสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีการเรียกสอบผู้บังคับบัญาโดยตรงของ ด.ต. ตั้งแต่ระดับรอง สว.และ สว. รวมทั้งตรวจสอบการเบิกรถไปปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ ยอมรับว่าในส่วนของการเบิกจ่ายรถในการปฏิบัติหน้าที่ยังมีช่องโหว่ที่กองบัญชาการต้องไปหาแนวทางในการแก้ไข ร่วมไปถึงคณะกรรมการจะต้องสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์ครั้งนี้ โดยจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อลดข้อครหาที่หลายคนเกรงว่าจะมีการช่วยเหลือในวงการสีกากี
นอกจากนี้ ยังยอมรับว่าที่ผ่านมาตำรวจท่องเที่ยวถูกร้องเรียนผ่านทางหมายเลข 1155 แต่ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องการให้บริการกับนักท่องเที่ยว เช่น การพูดจาไม่สุภาพ ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เรื่องร้ายแรง เรียกรับผลประโยชน์เพิ่งจะมีกรณีของ ด.ต.ภูวเมศร์. -สำนักข่าวไทย