แจ้งความถูกสวมชื่อทำประกัน วงเงิน 120 ล้าน

9 พ.ค. – สองสามีภรรยาถูกสวมชื่อทำประกันวงเงิน 120 ล้าน เข้าแจ้งความตำรวจกองปราบ พร้อมยืนยันไม่เคยมีสัญญา หรือทำประกันเพื่อใช้ค้ำประกันเงินที่ยืมฝ่ายคู่กรณี


นางชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พานางสาวพัชรวรินทร์ หรืออุ๊ และนายธนาญวัฒณ์ หรือโต้ง ผู้เสียหายสองสามีภรรยา เพื่อเข้าแจ้งความเอาผิดบุคคลที่นำชื่อของผู้เสียหายไปสวมสิทธิ์ทำประกันชีวิตวงเงิน 120 ล้านบาท เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทัังหมด

นางชลิดา กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายมาแจ้งความที่กองปราบ เพราะเริ่มแรกผู้เสียหายพยายามแจ้งความ แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่างจังหวัดและมีหลายท้องที่ได้ทำกับบริษัทประกันส่วนจะแจ้งความดำเนินคดีใครบ้างผู้เสียหายจะแจ้งกับทางตำรวจ เบื้องต้นทราบว่ามี 2-3 ราย ส่วนกรมธรรม์อื่นๆ ที่มีทั้งลายเซ็นและตัวแทนประกันก็จะมีเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งจะต้องรอเอกสารจากคปภ. เพื่อแจ้งความเอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ผู้เสียหายได้แจ้งความลงบันทึกที่จังหวัดศรีสะเกษเกี่ยวกับบริษัทประกันไว้โดยยืนยันว่าตัวเองไม่เคยไปทำประกันมาก่อน ส่วนข้อกล่าวหาที่จะแจ้งในวันนี้ให้ทางตำรวจเป็นผู้ประเมินว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายผู้ที่ถูกกล่าวหาจะแจ้งข้อกล่าวหาอะไรบ้าง เบื้องต้นอาจเข้าข่ายผิดข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม ในส่วนข้อหาพยามฆ่าในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษตำรวจได้เรียกเข้าไปสอบปากคำหลังจากที่ตัวเองได้โพสต์เรื่องนี้ในเฟซบุ๊กว่าผู้เสียหายอาจถูกปองร้ายหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าทางอีกฝ่ายพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ถึงแม้ผู้เสียหายจะเคยเป็นผู้กระทำความผิดมาก่อนแต่ไม่ใช่จะต้องผิดตลอดไปทุกคนมีโอกาสที่จะปรับปรุงตัวได้และผู้ถูกกระทำก็ควรมีสิทธิ์ในการที่จะปกป้องตัวเอง และผู้เสียหายไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกัน แต่ละปีต้องจ่ายเงินประมาณ 2 ล้านบาท


นางสาวพัชรวรินทร์ กล่าวว่า ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นใครที่เป็นผู้รับผลประโยชน์ แต่เมื่อได้เอกสารมาจึงทราบว่าใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ วันนี้จึงมาแจ้งความเอาผิดรผู้รับผลประโยชน์โดยตัวแทนบางท่านเป็นญาติกับตัวเองและเคยมีคดีความกันมาก่อน ยืนยันว่าตัวเองและสามีไม่ได้ทำประกันชีวิตกับตัวแทนคนไหนมาก่อน ส่วนกระบวนการของการทำประกันชีวิตผู้เอาประกันจะต้องลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง ฉะนั้นลายเซ็นใบคำขอที่ประสงค์เอาประกันภัย สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นลายเซ็นของตัวเองหรือไม่

ทั้งนี้ ไทม์ไลน์ก่อนหน้านี้ได้ฝากเอกสารไว้กับทนายความระหว่างศาลอ่านคำพิพากษาจึงไม่ได้นำเอกสารใดเข้าไปด้วย และทราบว่าทนายความรู้จักกับนางวัชรี นอกจากนี้ยังพบว่า การทำประกันภัยมีการนำบัตรประชาชนอันเก่าของตัวเองไปทำประกันภัย โดยหลังจากที่ตัวเองออกมาจากเรือนจำได้ทำบัตรประชาชนอันใหม่แล้ว แต่ก็ยังพบว่ามีการใช้บัตรประชาชนใบเก่าไปทำกรมธรรม์ พร้อมยอมรับว่ารู้จักกับตัวแทนตัวแทนบริษัทประกันภัยเพียงคนเดียวที่เป็นญาติยืนยันว่าหลังจากพ้นโทษตัวเองไม่ได้มีการทำประกันภัย

ส่วนกรณีล่าสุดที่อีกฝั่งให้สัมภาษณ์ว่าตัวผู้เสียหายมีกรมธรรม์เพียง 2-3 กรมธรรม์ แต่ความจริงของตัวเองมี 8 กรมธรรม์ ส่วนของสามีมีกว่า 10 กรมธรรม์ โดยเขายอมรับว่าเป็นคนทำกรมธรรม์เพื่อให้ครอบคลุมกับยอดหนี้ที่ได้เป็นหนี้อีกฝั่งไว้ ซึ่งล่าสุดมีการฟ้องร้องยอดหนี้จำนวน 50 ล้านบาท แต่พบมีการทำกรมธรรม์ของผู้เสียหายทั้งสองคนจำนวน 46 ฉบับ วงเงิน 120 ล้านบาท ส่วนเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2565 สามีได้ประสบอุบัติเหตุ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงทำให้มีความเคลือบแคลงใจสงสัยว่ามีการถูกประทุษร้ายหรือถูกลอบฆ่าเพื่อหวังเอาเงินประกัน และเชื่อว่าอาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง


นางสาวพัชรวรินทร์ ฝากถึงบริษัทประกันภัยว่าตัวเองและสามียืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีเจตนาจะทำประกันชีวิต อยู่ดีๆ กลับมีเซอร์ไพรส์การทำประกันชีวิตเบื้องต้นพบมี 46 กรมธรรม์วงเงินคุ้มครอง 120 ล้านบาท จึงอยากให้มีการคัดกรอง ขั้นตอนการตรวจสอบการทำประกันให้มีความเข้มงวด และให้ตรวจสอบอัตลักษณ์เบื้องต้น หลังจากที่ตัวเองพ้นโทษมาแล้วมีคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เคยมีอยู่หนึ่งครั้งเคยติดต่อให้ตัวเองถ่ายรูปคู่กับประชาชนโดยอ้างว่าจะให้ความช่วยเหลือในการทำประกันสุขภาพให้เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์เบิกได้ เพราะขณะนั้นตัวเองกำลังตั้งท้องอยู่ ตัวเองจึงปักใจเชื่อเพราะตอนนั้นลำบากจึงยินดีส่งรูปคู่กับบัตรประชาชนไปให้นางวัชรีในไลน์ จึงไปสอบถามว่าการทำประกันสังคมมีขั้นตอนแบบนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้คือไม่มี แต่ข้อสงสัยมาตลอดว่านำไปทำอะไรแต่ก็ไม่ได้สอบถามหรือทวงติง เพราะด้วยรายได้ในตอนนั้นยืนยันตัวเองไม่มีรายได้เพียงพอที่จะสามารถทำประกันเองได้

นายธนาญวัฒณ์ ยืนยันไม่ได้มีการจดบริษัท เมื่อมีข้อสงสัยจึงไปสืบค้นที่จังหวัดว่าตัวเองมีชื่อในกรรมการบริษัท ยืนยันไม่เคยเซ็นสัญญาทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้ด้วยลายมือชื่อ ไม่มีการตกลงเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ และไม่มีหลักฐานอะไรจะยืนยันว่าตัวเองจะเป็นหุ้นส่วน และหากมีลายเซ็นของตัวเองลายเซ็นนั้นจะต้องเป็นลายเซ็นปลอม

ส่วนกรณีที่มีการทำประกันกับตัวแทนบริษัทประกันแห่งหนึ่งยืนยันว่ามีการพบเห็นตัวเองนั้น นายธนาญวัฒณ์ บอกว่า กรณีนั้นน่าจะมีคนสวมรอยเป็นตัวเอง ฝั่งตัวแทนประกันยืนยันว่าพบเห็นผู้ชายแต่ไม่เห็นชัดเห็น และเดินเข้าไปในบ้าน และจ่ายเงินสด ทั้งนี้ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่นั่นโดยมีพยานบุคคลยืนยันได้ในวันนั้นตัวเองอยู่บ้านที่จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนที่มาที่ไปของบัญชีธนาคารกรุงไทย บัตรเอทีเอ็ม และสมุดบัญชีฝากไว้กับนาฃวัชรีเพื่อจะให้นางวัชรีไปนำเงินจำนวน 200,000 บาท ออกมาเพื่อเป็นการใช้หนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการคืนสมุดบัญชีและเอทีเอ็ม และยืนยันว่าตัวเองมีภรรยาเพียงคนเดียวคือนางสาวพัชรวรินทร์ และมีลูกสองคน

นายธนาญวัฒณ์ เล่าต่อว่า นางวัชรีเป็นส่วนกลางในการติดต่อคุณบอยให้ตัวเองรู้จัก เพื่อให้คุณบอยมาดูพื้นที่บ้านเพื่อทำธุรกิจจำนำรถและนำรถที่รับจำนำไปจอดไว้ โดยให้ตัวเองเป็นคนดูแลสถานที่จอดและอำนวยความสะดวกต่างๆโดยนางวัชรีนำเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองให้บอยและเบอร์ของบอยให้ตัวเอง และได้มีการนัดหมายที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและได้รับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ขณะรับประทานอาหารมีการถ่ายภาพ ก่อนจะถูกรถชนจังหวะสุดท้ายเห็นเพียงแค่แสงแล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไร ส่วนคดีนั้นขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ได้มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ทั้งนี้ขอถามกลับไปถ้าตัวเองจะต้องเสียชีวิตจะยกเงินให้คนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวหรือไม่

“ยืนยันไม่มีการพูดคุยตกลงในส่วนที่เป็นหนี้กันว่าจะมีการทำประกันเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ เขาทำโดยพละการด้วยตัวเอง ตามที่เขากล่าวอ้างว่าเราเป็นหนี้เขาจำนวน 50 ล้านบาท” นายธนาญวัฒณ์ กล่าว

นางสาวพัชรวรินทร์ เล่าอีกว่า ลูกหนี้คดีแรกที่โดนฟ้องจะมาเป็นพยานให้ โดยคดีที่โดนฟ้องได้ไปตกลงยอมรับสภาพหนี้ ส่วนหนี้ 50 ล้านบาทจริงหรือไม่ ยืนยันว่าไม่จริงในคำฟ้องที่ฟ้องมาปล่อยเงินกู้ให้มากถึง 50 ล้านบาทและไม่มีการชำระเงินเลย ยอดหนี้ที่ตัวเองเป็นหนี้จริงๆ ประมาณ 10 ล้านบาท การให้เงินส่วนใหญ่เป็นการโอนเงินให้และเขียนเช็คให้ ได้ผ่อนชำระโอนคืนมีสเตทเมนต์ยืนยันจำนวน 8 ล้านบาท ส่วนจุดแตกหักกับอีกฝั่งเพราะไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ตกลงไม่สามารถชำระต้นและชำระดอกตามที่ตกลงไว้ได้

ส่วนกรณีคุณแตงพยายามจบชีวิตตัวเอง นางสาวพัชรวรินทร์ บอกว่า ตัวเองและคุณแตงเป็นหนี้กันยอดประมาณ 5 ล้านบาท ช่วงเวลาที่เขาอ้างยืนยันว่าตัวเองยังอยู่ในเรือนจำ ไม่ทราบเรื่อง แต่มาทราบจากอีกฝ่ายบอกว่ามีคนจะผูกคอตาย ทั้งนี้อีกฝั่งเขาอ้างว่าทำธุรกิจกับคุณแตงโดยมีการเคลียร์ยอดหนี้กันไปแล้วจำนวน 6 ล้านบาท จากนั้นจึงชักชวนให้ตัวเองไปทำงานด้วยจึงเชื่อว่าจะได้รับโอกาส .-419 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]