สน.ประชาชื่น 11 ก.ย. – ภรรยาชาวนอร์เวย์ ร้องสายไหมต้องรอด เจรจาบริษัทเดินรถเอกชน เร่งช่วยเหลือ หลังสามีถูกประตูหนีบล้มสะโพกซ้ายหัก ค่ารักษาพุ่ง 1.3 ล้านบาท
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พานางบัวทอง อายุ 63 ปี ภรรยาของนายวิกโก้ มาร์ตินเซน อายุ 71 ปี สัญชาตินอร์เวย์ และครอบครัว มาติดตามความคืบหน้าการเจรจาไกล่เกลี่ยกับบริษัทเดินรถเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง กรณีฝรั่งชาวนอร์เวย์ถูกประตูอัตโนมัติ ภายในบริษัทเดินรถดังแห่งหนึ่งปิดกระแทกจนล้มกระดูกสะโพกซ้ายหัก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ขณะกำลังเดินทางไปขึ้นรถทัวร์ชั้นเฟิร์สคลาสของบริษัทดังกล่าว เพื่อเดินทางไปจังหวัดอุดรธานี โดยต้องเข้าผ่าตัดรักษาตัวอยู่ที่ห้อง ICU นานกว่าครึ่งเดือน ซึ่งปัจจุบันค่ารักษามากกว่า 1.3 ล้านบาท และยังต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
นางบัวทอง กล่าวว่า อาการของสามียังอยู่ในห้องไอซียู อาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะอายุมากแล้ว ทั้งนี้ กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย, ค่ารักษาพยาบาล เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นวันที่ 28 สิงหาคม ทางบริษัทดังกล่าวได้ส่งตัวแทนนำกระเช้ามาเยี่ยม ซึ่งทางบริษัทฯ ให้เขียนรายงานเข้าไป จึงเขียนระบุไปตามต้องการ แต่ยังไม่สามารถสรุปยอดได้เพราะยังรักษาไม่หาย
แต่หลังจากที่เรียกค่ารักษาพยาบาล และเยียวยาในเบื้องต้นไป ทางบริษัทกลับบอกว่าบริษัทไม่ผิด เพราะสามีตัวเองเอาขาไปเกี่ยวสะดุดล้มและไปชนประตูเอง แต่เท่าที่คุยกับสามีบอกว่าแขนไปชนประตูและทำให้ล้มลงจนได้รับบาดเจ็บ เหมือนเป็นการประมาทของเรา และทางบริษัทดังกล่าวให้ดำเนินการตามกฎหมาย จึงมีการปรึกษากับเพจสายไหมต้องรอดเพื่อขอความเป็นธรรม ทั้งนี้ ตนกังวลว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทดังกล่าว จึงอยากให้บริษัทยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง เพราะฝ่ายครอบครัวไม่ได้จะเรียกร้องเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อยากให้ยื่นความช่วยเหลือมาบ้างเพราะที่ผ่านมานอกจากกระเช้าก็ไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างอื่นเลย
นายเอกภพ กล่าวว่า วันเกิดเหตุนายวิกโก้ ได้เดินทางจากนอร์เวย์ลงเครื่องบินมา และจองรถทัวร์บริษัทนี้ในชั้นเฟิร์สคลาส เพื่อจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดอุดรธานี ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายจะเดินไปเข้าห้องน้ำและเข้าใจว่าประตูอัตโนมัติเป็นเซ็นเซอร์แบบ 180 องศา เมื่อเดินเข้าไปคิดว่าประตูจะดันออกแต่ประตูกลับดันหนีบเข้ามาที่ผู้เสียหายจนล้มลง กรณีนี้ไม่ได้ชี้ว่าใครถูกหรือผิดเพราะเป็นอุบัติเหตุ จึงอยากให้มาไกล่เกลี่ย วันนี้จึงมาเพื่ออยากให้เกิดการสอบสวนโดยได้ประสานทางผู้กำกับการ วันนี้จะต้องฟังทั้งสองมุม ซึ่งเห็นตามคลิปอยู่แล้ว และจะต้องดูว่าทางบริษัทจะให้ความช่วยเหลือได้อย่างไร
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีเคสลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้า ซึ่งเคสดังกล่าวเป็นผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน และห้างรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของห้าง ส่วนกรณีนี้มองว่าอาจจะต้องให้ตำรวจสอบสวนก่อนเรื่องอุปกรณ์ว่าทำไมประตูถึงไม่เปิด อยากเตือนผู้สูงอายุรวมไปถึงลูกหลานให้คอยระมัดระวัง หากพบประตูอัตโนมัติ อย่าคิดว่าเซ็นเซอร์จะทำงานได้ 180 องศา เสมอไป เพราะหากผู้สูงอายุประสบอุบัติเหตุ จะเป็นอันตรายและทำให้รักษาตัวนาน อย่างไรก็ตาม วันนี้ทางตำรวจได้เชิญตัวแทนบริษัท และญาติผู้เสียหายมาเจรจาเพื่อหายุติร่วมกัน. -419-สำนักข่าวไทย