15 ก.ค. – อัยการพร้อมตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ บินพิสูจน์จุดจับเรือน้ำมันเถื่อน เร่งพิสูจน์หลักฐานดำเนินคดีพยายามนำน้ำมันเถื่อนขายในประเทศ
นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด พร้อม พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และพนักงานสอบสวนเดินทางขึ้นเครื่องบินที่กองบินตำรวจดอนเมือง เพื่อไปสำรวจจุดจับเรือน้ำมันเถื่อน 5 ลำ บริเวณน่านน้ำเศรษฐกิจจำเพาะหรือน่านน้ำสากล
นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ต้องเดินทางไปสำรวจจุดจับกุมในวันนี้เนื่องจากต้องการความชัดเจน ว่าตรงกับที่ระบุในสำนวนตำรวจหรือไม่ และสามารถจะเอาผิดในข้อหาตาม พ.ร.บ.ศุลกากร และสรรพสามิต ฐานพยายามนำน้ำมันเถื่อนเข้ามาในประเทศไทยได้หรือไม่ ป้องกันข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่ทางฝั่งของผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องของจุดจับกุมที่อ้างว่าตำรวจไม่สามารถดำเนินคดีได้ แต่ถ้าในกรณีจุดจับกุมอยู่ในน่านน้ำสากลจริง ทางกฎหมายก็สามารถที่จะหาหลักฐานในส่วนอื่น ๆ เช่น หลักฐานจากฝั่งไทยว่ามีความพยายามที่จะประสานงานหรือติดต่อขายน้ำมันเถื่อนในประเทศไทย ซึ่งยังเป็นสิ่งที่พนักงานสอบสวนของตำรวจและเจ้าหน้าที่อัยการต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไปว่าผู้ถูกกล่าวหามีความพยายามจะนำน้ำมันเถื่อนเข้ามาขายในประเทศไทยหรือไม่
ส่วนพฤติกรรมที่พบว่าเรือ 1 ใน 5 ลำเป็นเรือที่มีสัญชาติไทยอยู่ด้วย และพบว่าเรือทั้ง 5 ลำ ได้ทำการชักธงไทยในน่านน้ำสากลสามารถเอาผิดได้ แต่เป็นเพียงข้อหาการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เดินเรือ ซึ่งไม่ใช่ข้อหาหลัก
ส่วนเสี่ย จ.จะอยู่เบื้องหลังของการค้าน้ำมันเถื่อนในครั้งนี้หรือไม่ ตามสำนวนการจับเรือน้ำมันเถื่อนทั้ง 5 ลำ ยังไม่พบรายชื่อนี้ปรากฏอยู่ แต่ในส่วนของที่มีการขโมยเรือของกลางพร้อมน้ำมันออกไปจากถ้าเรือตำรวจน้ำสัตหีบ มีชื่อ เสี่ย จ. ปรากฏอยู่ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนในคดีเรือน้ำมันเถื่อนจะต้องนำสำนวนกรณีขโมยเรือของกลางกองบังคับการปราบปราม มารวมเป็นสำนวนเดียวกัน แล้วจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่า เสี่ย จ.อยู่เบื้องหลังการค้าน้ำมันเถื่อนในครั้งนี้หรือไม่ ถึงแม้อดีตที่ผ่านมาจะปรากฏว่าเรือที่จับกุมในครั้งนี้จะเคยถูกดำเนินคดีการค้าน้ำมันเถื่อนมาแล้วก็ตาม แต่ทางกฎหมายแล้วไม่สามารถเอาคดีเก่ามาเป็นหลักฐานในคดีปัจจุบันได้. -417-สำนักข่าวไทย