กรุงเทพฯ 16 ม.ค. – ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ส่งตัวหนุ่มขับรถเก๋งสีขาวพุ่งชนแท็กซี่ ไปตรวจประเมินอาการทางจิต หลังแม่ให้ข้อมูลลูกชายมีอาการป่วยทางจิตและหนีการรักษา
เมื่อคืนนี้ (15 ม.ค.67) ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ส่งตัวคนขับรถเก๋งสีขาวที่ขับรถพุ่งชนแท็กซี่ ไปตรวจประเมินอาการทางจิต ที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาฯ หลังแม่ของชายคนนี้ให้ข้อมูลว่าลูกชายมีอาการป่วยทางจิตและหนีการรักษา ระหว่างคุมตัวไปขึ้นรถ เจ้าตัวมีท่าทางปกติ สวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น และสวมหมวกสีเหลือง ไม่มีสีหน้าเคร่งเครียดแต่อย่างใด ช่วงหนึ่งมีการทำมือท่าวันทยหัตถ์ลาตำรวจ สน.ห้วยขวาง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และเมื่อหันมาเห็นกล้องของสื่อมวลชนก็ยังยิ้มพร้อมกับเอามือจับหมวกก้มศีรษะเล็กน้อย
รอผลประเมินอาการทางจิตคนขับเก๋งประกอบสำนวนคดี
พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง บอกว่า ส่งตัวผู้ก่อเหตุให้แพทย์ประเมินอาการและวินิจฉัยว่ามีอาการทางจิต หรืออยู่ในภาวะที่สามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่ มีกรอบเวลาตามกฎหมายในการวินิจฉัยอยู่ที่ 45 วัน หากพบว่าป่วยอาการทางจิต ต้องรักษาและคอยรายงานทุกๆ 180 วัน จนกว่าจะสามารถกลับมาต่อสู้คดีได้ แต่หากประเมินวินิจฉัยแล้วว่าไม่มีอาการทางจิต สามารถส่งตัวกลับมาต่อสู้คดีได้
ก่อนหน้านี้แม่ของผู้ก่อเหตุ ให้ข้อมูลว่า ลูกชายมีอาการป่วยทางจิตและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนเคยเรียนในมหาวิทยาลัย แต่พักการเรียนและได้ไปศึกษาธรรมะรวม 10 ปี เพื่อนๆ ได้ไปหาและขอให้สึกออกมาเรียนให้จบ ลูกชายก็สึกออกมาเรียน และมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬา แม่เลยเปิดฟิตเนสให้ ลูกชายก็ฝึกฝนจนได้เป็นนักกีฬาระหว่างประเทศ ระหว่างนั้นมักจะมีอาการคลั่ง คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าตลอดเวลา แม่จึงพาไปรักษาให้กินยาต่อเนื่อง เวลาไปไหนมาไหนจะพรมน้ำมนต์ตลอด
โดยก่อนเกิดเหตุประมาณ 2-3 วัน ลูกชายเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งและหนีออกมา แม่ตามไปเจอและจะพาไปรักษาต่อ แต่ลูกชายก็หนีออกจากบ้านจนไม่สามารถติดต่อได้ กระทั่งมาก่อเหตุดังกล่าว ตอนแรกที่แม่ออกมาให้ข้อมูลเรื่องนี้ตำรวจยังไม่เจอตัวชายคนนี้ แม่เลยออกมายืนยันว่าลูกชายป่วยจิตจริงๆ เพราะกลัวจะมีการทำร้ายลูกชาย
คนขับแท็กซี่ไม่เชื่อป่วยจิต ลั่นต้องรับผิดชอบ
ด้านนายชาญยุทธ อายุ 58 ปี คนขับแท็กซี่เขียว-เหลือง ซึ่งเมื่อวานตอนเย็นได้มาให้ปากคำกับตำรวจอีกครั้ง เจ้าตัวบอกว่าส่วนตัวไม่เชื่อว่าผู้ก่อเหตุมีอาการทางจิต มองว่าน่าจะดื่มแอลกอฮอล์หรือมีสารเสพติดมากกว่า พร้อมฝากบอกอีกฝ่ายให้รับผิดชอบเรื่องรถ เพราะต้องใช้รถคันนี้ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว เบื้องต้นความเสียหายน่าจะประมาณ 200,000 บาท และตนเองก็บาดเจ็บบริเวณข้อศอกด้วย.-สำนักข่าวไทย